แปลงไปล่ (การกระทำด้วยคุณไสย์ใส่ผู้อื่น)

แปลงไปล่
       การแปลงไปล่ เป็นภาษาเหนือ อ่านว่า แป๋งไป๋แปลว่า กระทำให้ขึ้นรูปหรือเข้าที่เข้าทาง ประนีประนอมรอมชอมและจัดตั้งแล้ว ในแง่ไสยศาสตร์มีความหมายว่า การทำร้ายผู้อื่นบุคคลอื่นด้วยไสยศาสตร์ คาถาอาคม ทำให้บุคคลที่ถูกกระทำมีปกติวิสัยเปลี่ยนไป ทำให้ผู้ถูกกระทำเป็นทุกข์ จนถึงกับล่มจมสูญเสียทรัพย์สิน สูญเสียทรัพย์สมบัติ ทั้งนี้การแปลงไปล่ มีวิธีการทำได้หลายวิธีที่คนในสมัยโบราณนิยมทำกัน ดังนี้
       ๑. การใช้ข้าวสารจากหลังโลงศพ กล่าวคือมีการหามศพไปสู่ป่าช้าแล้ว การนำข้าวสารที่อยู่ในกระทงบนโลงศพไปโปรยที่กอไผ่ของคู่อริศัตรู เชื่อว่าจะทำให้กอไผ่นั้นออกดอก จากนั้นก็จะตายทั้งกอ เรียกว่า ไผ่ตายขุยซึ่งย่อมเป็นที่เสียดายของเจ้าของ เพราะตันไผ่ในสมัยก่อนเป็นไม้เศรษฐกิจที่ต้องใช้ในการจักสานเครื่องมือเครื่องใช้เกือบทุกชนิด ใช้ในการปลูกเรือนที่อยู่อาศัย ใช้ล้อมรั้วบ้าน เป็นต้น ซึ่งกว่าจะปลูกใหม่ให้ได้ใช้การได้ต้องใช้เวลานานหลายปี
       ๒. ไปผ่าเอาไม้ แม่ช้างคือไม้คานที่วางรับเรือนศพ เพื่อหามศพไปป่าช้า ถ้านำเอากีบไม้แม่ช้างแม้กีบเล็กๆ ไปแอบเสียบไว้ใต้ถุนบ้านของคู่อริศัตรู จะทำให้ครอบครัวของผู้ถูกไปล่ถูกแปลงนั้นเกิดความร้อนไหม้ จนถึงกับฉิบหายล่มจมลงในที่สุด
       ๓. การไปขอหรือบังคับผู้มีตั้งแต่ผีชั้นสูงคือเทวดาอารักษ์ ผีเสื้อวัด เสื้อบ้าน ผีเจ้าที่ ลงไปถึงผีชั้นเลวอย่างผีตายโหง ให้ไปรบกวนสร้างความเดือดร้อนให้แก่คู่อริศัตรู ให้เกิดการเสียข้าวของ เจ็บป่วยล้มตาย อย่างนี้เรียกว่า การแปลงไปล่อีกวิธีหนึ่งด้วย
       ๔. การที่นำพริกนำเกลือ พร้อมเขียนชื่อคู่อริใส่ไปด้วย นำไปเผาแล้วกรวดน้ำ ทำการแช่งชักหักกระดูกให้คู้คู่อริศัตรูเกิดความร้อนใจ เร่าร้อนเป็นกังวล ให้เกิดเภทภัยต่างๆ อย่างนี้ก็เรียกว่า การแปลงไปล่ ด้วยเช่นกัน
       ๕. การฝังรูปฝังหุ่น คือการนำเอาขี้ผึ้งหรือดินเหนียวมาปั้นเป็นรูปสมมติว่าเป็นคนที่เป็นคู่อริศัตรู โดยใส่ชื่อคู่อริศัตรูเขียนใส่ไปด้วยมีการนำเอาเข็มหรือหนามแหลมทิ่มแทง แล้วนำไปทำพิธีฝังในหลุมกลางวัดร้างบ้าง นำไปฝังกลางป่าช้าบ้าง ทำให้ผู้ถูกกระทำเจ็บปวด เสียดแทงในหัวอกหัวใจ อยู่ที่ใดไม่เป็นสุข
       ๖. การไปบังคับ หือบนบานศาลกล่าวให้แก่ผีตั้งแต่ผีชั้นสูงลงไปถึงผีชั้นเลว ให้ช่วยทำให้ชายหรือหญิงที่ตนหมายปองมาหลงรักตน เพื่อให้สมหวังในความรัก
       ๗. การลงอักขระยันต์ในกระดาษสาแล้วทำเป็นไส้เทียน เพื่อนำไปจุดให้ชายหญิงหลงรักตนก็ดี ลงใส่ใบตองกล้วยก็ดี ในใบไม้บางชนิดก็ดี ให้สัตว์กินหรือเอารองนั่งรองนอน เพื่อให้หญิงชายที่ตนหมายปองมาหลงรักตน หรือจุดเพื่อทำให้ผู้ใหญ่ หรือผู้บังคับบัญชารักตนชอบตน เอ็นดูแล้วประทานยศศักดิ์ให้ หรือจุดเพื่อให้พ้นผิดคือทำผิดมีโทษ ก็แปลงไปล่ให้เจ้าหน้าที่หรือผู้พิพากษาสั่งไม่ฟ้องหรือบอกว่าไม่ผิด เป็นต้น
       การรักษา ป้องกัน การป้องกันการกระทำแปลงไปล่ นี้ก็คือการใช้ไสยศาสตร์นั่นเองเป็นเครื่องแก้ โดยการไปให้หมอไสยศาสตร์ช่วยกระทำให้อาคมคุณไสยที่ได้รับเสื่อมลง หรือหารให้พระช่วยรดน้ำมนต์ คนโบราณโดยเฉพาะทีเป็นผู้หญิงจึงมีวิธีการป้องกันตัวไม่ให้ถูกแปลงไปล่หรือถูกกระทำได้ง่าย เช่น เมื่อเวลานอน ท่านสอนให้หญิงสาวเอาผ้าถุงคลุมหัว เป็นต้น เชื่อว่าคาถาคุณไสยจะไม่เข้าไปหาของต่ำ 


หุ่นพยนต์ (ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์)

หุ่นพยนต์ (ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์)


            หุ่นพยนต์ ในวงการไสยศาสตร์เป็นที่ยอมรับกันดีเรื่องมีภูตผีเป็นผู้รับใช้ติดตามจะสายไหนก็มักจะมีข้ารับใช้เสมอ ทั้งสายเทพ สายพราย สายภูติ สายผี สายเวทย์ บางครั้งถูกเรียกไปต่างๆนานา เช่น วิชามารยศาสตร์สร้างปู่โสม การฆ่าคนเพื่อเฝ้าสมบัติพัสถาน กุมารทองกุมารี รักยม อิ่นจันทร์ อิ่นแก้ว ในลัทธิองเมียวโดของญี่ปุ่นมีชิกิงามิ ชิกิยิน เป็นการเสกกระดาษเป็นข้ารับใช้ ซึ่งเป็นพวกเดียวกับหุ่นพยนต์นี้ แต่ต่างกันออกไปที่หุ่นพยนต์จะสามารถสร้างจากวัตถุสิ่งขออะไรก็ได้
            หุ่นพยนต์ คำนี้ว่าจากคำว่า “พยนต์” แปลว่า สิ่งที่ผู้ทรงวิทยาคมปลุกเสกให้มีชีวิตขึ้น เช่น หุ่นพยนต์ เป็นรูปหุ่นจำลองของคน สัตว์ เทวดา ยักษ์ หรืออะไรต่อมิอะไร โดยอาศัยหลักการว่าอยากได้รูปร่างยังไงให้ทำหุ่นแบบนั้น หรือชนิดไหนตามแต่ความต้องการจะใช้หุ่นพยนต์ ประมาณว่าให้เหมาะสมกับงานที่จะใช้ไปทำ 

            วัสดุที่นำมาใช้สามารถทำได้เกือบทุกอย่าง ตั้งแต่หุ่นหญ้าสาน หุ่นก้านใบไม้สาน หุ่นเถาวัลย์สาน หุ่นหวายสาน ใบไม้ถัก หุ่นไม้แกะสลัก หุ่นไขเทียน หุ่นด้าย หุ่นผ้า หุ่นดิน หุ่นดินเผา หุ่นหิน  หุ่นกระเบื้อง หุ่นอิฐ หุ่นปูน หุ่นเงิน หุ่นทอง หุ่นโลหะ ซึ่งการเลือกใช้นั้นอาศัยหลักง่ายๆว่าอาจารย์ไหนใช้อะไรจะต้องใช้ตามอาจารย์ ผีธาตุไหนจะให้เหมาะก็ธาตุนั้นๆ เหมาะสมกับงานดำน้ำลุยไป อย่างไรก็ตามเห็นเพียงก้อนเดียวก็เป็นหุ่นพยนต์ที่ทรงพลังได้ ต้องมาจากวิชาอาคมวิทยาคมของผู้ทรงอาคมแกร่งกล้ามากเพียงไหนหุ่นพยนต์จะมีอานุภาพเพียงนั้น ที่สำคัญเอาสะดวกว่า บางครั้งจะเก็บติดตัวต้องพกพาไปไหนมาไหนง่าย  ขนาดกะทัดรัดหรือขนาดใหญ่ก็อาศัยว่าจะใช้งานอย่างไร หุ่นพยนต์ธรรมดามักจะแค่หุ่นที่เสกคล้ายมีชีวิต มีรูปร่างของวิญญาณที่มีฤทธิ์มีเดช แต่หากเป็นหุ่นพยนต์อาถรรพ์ เป็นของอาถรรพ์จะมารเอาวิญญาณ หรือผีสางนางไม้ วิญญาณสิงสาราสัตว์ ผีตายห่าตายโหง ผีตายพราย ตายทั้งกลม ผีแขวนคอตาย ผีรถชนตาย ผีจมน้ำตาย สัมภเวสีผีเร่ร่อน  สะกดลงในหุ่นเพื่อกำกับออกมาใช้ เรียกว่า “พรายหุ่นพยนต์” 


            การใช้ของอาถรรพ์มาเป็นหุ่นนั้นประสบความสำเร็จมากสำหรับมือใหม่หัดทำ หรือมือเก่าขั้นฉมัง ไม่ว่าจะเป็นด้ายจูงศพ ผ้าหอศพ เชือกผู้คอตาย ดินเชิงตะกอนป่าช้ายิ่งเฮี้ยนยิ่งดี ขี้เถ้า ตะปูตอกโลงศพ เหล็กแทงศพ เขี้ยวงาสัตว์ พิษสัตว์ เมื่อได้วัสดุอุปกรณ์ที่ต้องการเหมาะสมกับงานแล้ว ให้ขึ้นรูปตามที่คิดว่าจะทำตัวอะไร สิ่งที่นิยมคือหุ่นสาน หุ่นตันๆ(หุ่นปั้น) หุ่นแกะสลัก
3 อย่างนี้มักเห็นอยู่บ่อยๆ 


            ตัวอย่างที่หนึ่ง ถักสานย่านลิเภาเป็นหุ่นรูปจำลองคน  สองแขนหรือสี่แขนหรือสิบแขน นุ่งผ้าขาวผ้าแดง สานอาวุธติดพร้อมมือ หอกดาบปืนผาหน้าไม้กระบี่กระบองจักรธนู  จะให้ให้ขี่วัวขี่ควาย ขี่หมีขี่แรด ขี่เสือขี่ช้าง ขี่เหยี่ยวขี่หงส์หรือจะให้เป็นกองทัพเดินดิน ให้เป็นนักรบโชว์เดี่ยวหรือเป็นกลุ่ม ใช้ในการต่อสู้ ใช้ป้องกันตัวเป็นกลุ่มกองกำลังผีติดอาวุธยุทโธปกรณ์ 

            ตัวอย่างที่สอง ปั้นหุ่น หล่อหุ่นเป็นสัตว์ มีเท้าไม่มีเท้า สองตีน สี่ตีน สิบตีน แสนตีน มีเขี้ยวมีงา มีงวงมีหาง มีหูมีเขา จะเป็นสัตว์ประหลาดหรือสัตว์ในวรรณคดีย่อมได้ บ้างให้เป็นเสือมีเขี้ยวมีเล็บหรือเขี้ยวดาบ  บ้างให้เป็นช้างมีงามีงวงหรือมางเป็นปลา ช้างน้ำมีงาลงน้ำได้สะดวก บ้างให้เป็นหมี บ้างให้เป็นแรดมีนอมีหนังแข็ง บ้างให้เป็นงูมีเขี้ยวมีพิษ บ้างให้เป็นนกมีหูมีตามีปากแหลมเล็บแหลมมองไกลได้สะดวกใช้เป็นเรดาร์ได้สบาย  ใช้ต่อสู้โจมตี

            ตัวอย่างที่สาม แกะสลักจากไม้จากหิน หรือปั้นจากดิน เป็นยักษ์ปิศาจ สัตว์ประหลาดต่างๆ มีกระบองกระบี่ ขี่พาหนะ มีโล่มีเกาะ ยืนบ้างนั่งบ้าง ใช้ต่อสู้ หรือเฝ้าสถานที่ ปกปักษ์พิทักษ์รักษาสถานที่ต่างๆ ตามคำสั่งของผู้ใช้วิทยาคม


            ตัวอย่างที่สี่ หุ่นพยนต์ตาปะขาว ยายปะขาว ชีปะขาว หุ่นพยนต์ตัวครูพ่อครู เป็นปู่ครูอาคม นุ่งขาวห่มแดง ใช้รักษาวิชาอาคม ปกป้องคุ้มภัย ใช้ถามไท้ความอยากรู้ต่างๆ ใช้ป้องกันตัวจากภูตผีปิศาจ ใช้เป็นเมตตามานิยม รักษาผลประโยชน์ของเจ้าของ  ทำให้ผู้ประสงค์ร้ายมีอันเป็นไปในรูปแบบต่างๆ


            ตัวอย่างที่ห้า หุ่นพยนต์ตะกรุด เป็นด้ายหรือเชือกผูกเป็นปม ประกอบด้วยหัว ลำตัว แขน ขา ใช้แผ่นโลหะ บ้างใช้ทองเหลือง บ้างใช้แผ่นเงิน บ้างใช้แผ่นทองคำ บ้างใช้แผ่นทองแดง บ้างใช้แผ่นเหล็ก บ้างใช้แผ่นตะกั่ว พันเป็นหัวเป็นตัวเป็นแขนขา ตะกรุดประเภทนี้เหมือนกับการพกติดตัวไปไหนมาไหนมาที่สุด สะดวกที่จะห้อยติดตัวแขวนติดรถ มัดติดกระเป๋า นิยมใช้ในการป้องกันตัว ไล่ภูตผีปิศาจ เมตตามหานิยม เป็นมหาเสน่ห์ก็ได้


            เมื่อได้รูปปั้นตามต้องการแล้วก็นำมาประกอบพิธีทางไสยศาสตร์ เรียกว่า “ผูกหุ่นพยนต์”  คือการเอารูปหุ่นที่ได้แล้วมาเป่าเสกคาถา ปลุกผีแล้วสะกดลงหุ่น ให้ภูตผีสิ่งสถิตหุ่นพยนต์ ในระดับนี้จะเรียกว่าพรายหุ่นพยนต์ ปลุกเสกเสร็จแล้วจะมีวิธีการเลี้ยงรักษาแน่นอนหุ่นพยนต์ปกติไม่กินอะไรอยู่แล้ว จะมีคาถากลบทอยู่
4 คาถาที่ใช้หลังจากปลุกเสกแล้ว ตามตำหรับที่ผมได้ศึกษามา การนำหุ่นไปที่มีผีเฮี้ยนแล้วลุกผีขึ้นมาจากนั้นก็เจรจากันให้ดี ถ้าผียอมดีๆเราจะใช้ทำงานง่ายขึ้น จากนั้นใช้คาถาผูก หากเป็ตำหรับที่ไม่ต้องใช้พรายสะกด ตัวอย่างเช่น ตำหรับของหลวงปู่สุข วัดปากครองมะขาวเฒ่าท่านว่าเอาหญ้าคาหรือหญ้าแพรก ผ้าที่ท่านชักบังสุกุลหรือสายสิญจน์ที่ใช้สวดมนต์นำมาถักเป็นหุ่น แล้วปลุกให้ขึ้นจนมีรูปร่างใหญ่โตก็ได้ ให้หัดทำในที่ลับตาคน เมื่อทำเป็นแล้วจึงทำที่ใดก็ได้ ขณะที่จะเริ่มเป็นหุ่นนั้น จะกลิ้งโคลงเคลงเสียงดังโครมครามเสียก่อน จากนั้นก็ใช้คาถาหัวใจนิพพานสูตร “อะนิโสสะ”
            “โสสะอะนิ” พระคาถานี้ใช้บริกรรมผูกหุ่น จนกว่าจะเป็นขึ้นมา
            “สะอะนิโส” พระคาถานี้ ใช้บริกรรมเรียกหุ่นให้มาหาเรา เมื่อจะไปในที่ใด ให้ขี่คอหุ่นนั้นไปเถิด
            “อะนิโสสะ” พระคาถานี้ เมื่อผูกหุ่นให้เป็นขึ้นมาแล้ว จะให้อยู่ในที่ใดก็ดี ให้เสกเอาสายสิญจน์คล้องคอหุ่นไว้ เมื่อจะใช้ไปไหนค่อยถอดออก
            “นิโสสะอะ”เมื่อจะใช้หุ่นไปไหนให้ บริกรรมคาถานี้ขับออกให้ไป แล้วเอาสายสิญจน์ออก
            เมื่อจะทำให้จัดเครื่องกระยาบวช ๑ สำหรับบูชาครู เทียนเล่มหนัก ๑ บาท ผ้าขาว ๑ ผืน เงิน ๑ บาท เอาแป้งปั้นเป็นควายดำ ๑ ตัว ท่องคำบูชาครู
                                    ตะมัตถัง ปะกาเสนโต สัตถาอาหะ อิมะอะวิ ตะอุอะมิ มะสะนะโม
 สิบนิ้วของข้าขอน้อมนมัสการ แด่คุณครูบาอาจารย์ ผู้ประสาทวิทย์ อันเป็นมิ่งมิตรทั่วโลกา ข้าพเจ้าขอไหว้เทพยดาผู้ศักดิ์สิทธ์ ทั้งพระองค์พรหมศรี ผู้เรืองฤทธิไกร อีกทั้งครูผู้รู้ไสยศาสตร์โหราจารย์ จงมาอภิบาลปกเกศ ทั้งบิตุเรศชนนี หลวงพ่อกวยก็ดีจงมาเป็นสักขีพยานให้ข้า ซึ่งจะท่องว่าคาถาอาคม ให้บรรจุสิ้นและศักดิ์สิทธิ์ เป็นนิมิตดีแก่ข้า ณ บัดนี้เทอญ
                     กล่าวคือตำหรับของหลวงปู่สุขนั้นได้รับกล่าวขานว่า “เสกหัวปลีเป็นกระต่าย การเสกใบมะขามเป็นตัวต่อ” ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ต่อหน้าพระพักต์ของกรมหลวงชุมพรฯ (เสด็จเตี่ย) มาแล้ว ในหุ่นพยนต์ที่หลวงปู่สุขสร้างนั้นรุ่นที่ทำจากน้ำว่านและใบไม้
7 อย่าง ใบตาล ใบลาน ใบขนุน ใบคูณ ใบพยุง ใบรัก ใบจันทร์ แล้วจารอักขระคาถายันต์หัวใจนักรบ ผูกเป็นหุ่นพยนต์อาถรรพ์ขึ้นมา

            ในตำหรับอีกหลายตำหรับจะใช้คาถานี้คือ "โอม ปลุกมหาปลุก กูจะปลุกพ่อหุ่นพยนต์ ด้วยอะหังทุกัง นะมะพะทะ" ถ้าจะให้ผีพรายสิงก็ใช้ "อมปลุก มหาปลุก กูจะปลุกโหงพรายด้วยนะมะพะทะนะละภูตาปิยังมะมะฯ" เป็นการปลุกผีพรายที่อยู่ในหุ่นพยนต์เข้าสิงคนอื่น และคาถาสำหรับหุ่นพยนต์ ให้ใช้คาถาสี่กลบทนี้ในการควบคุม คือ เรียก ปลุก ผูก ขับ
หลักการนี้สามารถใช้กับผีประเภทอื่นๆได้ เพื่อให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจเรา


คาถาเรียก (เรียกพรายให้มาหา)
จิเจรุนิ จิตตัง เจตะสิกัง รูปัง
นิพพานัง พะทะนะมะ เตโชธาตุ
ทีฆังวา อะสะจะภะ วาโตเสนโต
เอกะชานัง ปะรังยันตะวา อาคัจฉามิ

คาถาปลุก (ปลุกพรายเพื่อสั่งการใช้งาน)
จิเจรุนิ จิตตัง เจตะสิกัง รูปัง
นิพพานัง มะพะทะนะ ปถวีธาตุ
ทีฆังวา ภะกะสะจะ วาโตเสนโต
ปะสสาโสหัทธะยัง สิวัง ชีวัง อุตเตติ

คาถาผูก (ผูกพรายให้อยู่กับที่ไม่ออกไปเพ่นพ่าน)
จิเจรุนิ จิตตัง เจตะสิกัง รูปัง
นิพพานัง ทะนะมะพะ วาโยธาตุ
ทีฆังวา สะจะภะกะ วาโตเสนโต
พุทธา พันธะ นายะกัง พันธัตตะวา

คาถาขับ (ขับพราย ไล่พรายให้ไปไกลๆ)
จิเจรุนิ จิตตัง เจตะสิกัง รูปัง
นิพพานัง นะมะพะทะ อาโปธาตุ
ทีฆังวา จะภะกะสะ วาโตเสนโต
อัสสาโส นิพพานังสูญญัง คัจฉะติ 



            หุ่นพยนต์แม้ว่าโดยรวมๆแล้วจะไม่มีพิษมีภัย แต่ควรใช้อย่างระมัดระวัง เพราะถ้าเลี้ยงงูเห่า ก็อย่าให้งูเห่าเหว้งกลับมากัดเรา

จบเรื่อง หุ่นพยนต์

ควายธนู (อาวุธคู่กายผู้มีวิชาอาคม)

ควายธนู และ วัวธนู


            วิชาธนู เป็นอุปเวทหนึ่งในพระเวท เรียกว่า ธนุรเวท หรือ ธนุรวิทยา ถือเป็นอุปเวทหรือพระเวทรองในคัมภีร์ยชุรเวท ว่าด้วยการยิงธนูและศาสตราวุธ อาวุธ การต่อสู้ เชิงสงคราม ทั้งวิชาธนูรเวท ธนูมือ เป็นต้น

            ควายธนู เป็นวิชาไสยศาสตร์ที่เกิดมาจากอุปเวทที่ชื่อว่า ธนุรเวท หลอมรวมเข้ากับสัตว์ ทั้งโคกระบือ ถ้าใช้วัวก็จะเรียกว่า วัวธนู ถ้าใช้ควายก็จะเรียกว่า ควายธนู ซึ่งสะท้อนให้เห็นสังคมเกษตรกรรมและปศุสัตว์ที่เลี้ยงสัตว์ไว้ใช้งานทั้งวัวทั้งควาย ซึ่งวิชาเหล่านี้มาจากวิชาหุ่นพยนต์ทั้งหมด ด้วยการผูกหุ่นพยนต์ขึ้นมาเป็นตัวควายหรือตัวสัตว์อะไรก็ได้ตามต้องการ ควายชนิดนี้จะเป็นผีเป็นวิญญาณ ตามตำนานการเกิดควายธนู ควายธนูในยุคเริ่มแรกนั้นเป็นไม้ไผ่สานเป็นโครงตัวควาย แล้วเสเป่ามนต์คาถากลายเป็นควายธนู ยุคต่อมาสร้างจากลูกธนู ด้วยการนำเอาคันธนูและลูกธนูมาเสกเป่าคาถากลายเป็นควายที่วิ่งเร็วเหมือนธนู ควายที่มีเขาโค้งดุจคันศร จึงเรียกว่า ควายธนู ในยุคล่าสุดควายธนูถูกสร้างด้วยการปั้นหรือหล่อ อาจจะมีการแกะสลัก ทำจากวัสดุต่างๆกันตามความชอบและการใช้งาน ปั้นด้วยดินผสมมวลสาร ปั้นจากขี้ผึ้ง ไปจนถึงหล่อขึ้นด้วยโลหะอาถรรพ์ เช่น ตะปูโลงศพเจ็ดป่าช้า
,เหล็กขนันผีพราย ,เหล็กยอดเจดีย์ เป็นต้น เอามาหลอมรวมกันหล่อเป็นรูปควาย บางสำนักใช้โครงเป็นไม้ไผ่แล้วพอกด้วยครั่งที่ได้จากต้นพุททรา เมื่อทำสำเร็จแล้วต้องปลุกเสกตามพิธีกรรม แล้วเลี้ยงไว้ให้ดี ต้องหาหญ้าและน้ำเลี้ยงเสมอ เชื่อว่าสามารถใช้ให้เฝ้าบ้านหรือไร่นา ใช้งานได้ตามความประสงค์ ทั้งป้องกันภูตผีและโจรผู้ร้าย และสามารถสั่งให้ไปสังหารคู่อริได้อีกด้วย

            ความเชื่อเรื่องควายธนูมีอยู่ทุกภาคของประเทศไทย บางท้องถิ่นเชื่อว่าผู้เลี้ยงต้องดูแลอย่างดีหมั่นให้อาหารและปล่อยออกไปท่องเที่ยว จะประมาทหลงลืมไม่ได้ ไม่เช่นนั้นควายธนูจะหวนมาทำร้ายเจ้าของเสียเอง แต่บางแห่งก็ถือเป็นเสมือนเครื่องรางธรรมดาสำหรับใช้พกพาติดตัว การสานวัวหรือควายธนูที่ทำจากไม้ไผ่นั้นมีแบบมาจากสายพ่อค้า การทำธนูมือแต่วัวหรือควายธนูนี้จะแรงมากก็คือการปราบเสือเย็น(เสือสมิง)และยังใช้ทำน้ำมนต์ประพรมสิ่งของขายดีต่างๆนาเพราะแบบนี้จึงเป็นสายพ่อค้าแต่แบบไหนก็ใช้ได้เหมือนกัน อาจต่างที่รูปมวลสารอาจเป็นผงเป็นโลหะไม้ไผ่แล้วแต่เจตนาของผู้สร้าง

วัตถุที่ใช้ควายธนู  แต่ละชนิดออกไปดังนี้

         1. ควายทอง  สร้างขึ้นด้วยโลหะอาถรรพณ์  มีตะปูตรึงโลงศพ  เหล็กขนัน  ผีตายท้องกลม  งั่ง ตัวยาซัดทองชนิดหนึ่ง  ทองแดงเถื่อน  ดีบุก  ทองขวานฟ้า  เงินปากผี  ทองยอดนพศูนย์  นำมาหล่อหลอมเข้าด้วยกัน  แล้วลงอักขระตามตำราที่ใช้บังคับ  หรือหล่อเป็นโคถึกหรือกระทิงโทน

         2. ควายขี้ผึ้ง  ท่านให้ใช้ขี้ผึ้งปิดหน้าผีตายโหง  ผีตายท้องกลม  ผสมด้วยผมผีตายพราย ผมผีตายลอยน้ำ  ตานกกรด  ตาแร้ง  ตาชะมด  กำลังวัวเถลิง  เผาไฟให้ไหม้บดเป็นผง  ผสมกับเถ้ากองฟอนเจ็ดป่าช้าแล้วนำไปคลุกกับขี้ผึ้งปั้นเป็นรูปวัวหรือควายก็ได้ เสกด้วยอาการ  32  บางตำราเพิ่มคนเลี้ยงอีก 1 คน

         3. ควายไม้ไผ่  ใช้ชั่วคราวในเวลาฉุกเฉิน  ให้ใช้ไม้ไผ่ที่ขึ้นคร่อมทาง  กลั้นหายใจตัดด้วย นะโม ตัสสะ  กะทีเดียวให้ขาดจากกัน  นำมาสานเป็นรูปหัววัว  คล้ายเฉลวปักหม้อยาแผนโบราณ


         ควายดิน ทำจากดินปั้น ดินเจ็ดป้าช้า ดินปากหลุมศพ ดินใต้โลงศพ ขี้เถ้ากระดูผีตายโหงตายพราย ดินเจ็ดบ่อนดินเจ็ดตลาด นำมาปั้น หรือจะนำไปเผาแบบเครื่องปั้นดินเผา

ยันต์ที่ใช้ลงกำกับบนควายธนู
อุณาโลม สูรย์ จันทร์ องการ ลงหน้าผากควายธนู


ยันต์พุฒซ้อน นะโมพุทธายะ ลงข้างลำตัวควายธนู


นะมะพะทะ ลงขาทั้ง 4 ของควายธนู

                            ลงไว้ขาหน้า (ซ๊าย-ขวา)                 ลงไว้ขาหลัง (ซ๊าย-ขวา)
นะปถมัง 4 นะ จาก 14 นะ ลงข้างขาควายธนู

กำกับขาหน้าว่า พุทธะสังมิ

กำกับขาหลังว่า นะชาลิติ


                                    คาถาควายธนู
            โอมปู่เจ้าสมิงไพร ปู่เจ้ากำแหงให้กูมาทำควาย
เชิญพระอีศวรมาเป็นตาซ้าย เชิญพระอาทิตย์มาเป็นตาขวา
เชิญพระนารายณ์มาเป็นเขา เชิญพระอินทร์เจ้าเข้ามาเป็นหาง
เชิญพระพุทธคีเนตร์ พระพุทธคีนายมาเป็นสีข้างทั้งสอง
เชิญพระจัตตุโลกบาลทั้งสี่มาเป็นสี่เท้า
เชิญฝูงผีทั้งหลายเข้ามาเป็นไส้พุง นะมะสะตีติ

                                    คาถางัวธนูหิน
โอมโคโณ มหาโคโณ
 หน้าพื้นฟ้า หน้าแผ่นดิน 
มาทางน้ำ กรูจักกิน
  มาทางดิน กรูจักฆ่า
มาทางฟ้า กรูจักขวิด ขวิด พ่อ ขวิด  จิตดั่งสายไฟฟ้า
ฟาดแม่ธรณี
 เจ้าอธิการเจ้าจำข้า มาไล่ผี
ผีอยุ่พอผี คนอยู่พอคน โอมสวาหะเถ็ก

                        คาถางัวธนูขี้เผิ้ง
โอม โคโณ มหาโคโณ
  โอม เสโส มหาเสโส 
โอมสัตตะ สัตตะ สวาหะ
 โอม เสเสยนา สวาหาย
ฟังเนอ มรึงเปนใหญ่กว่าช้าง ตัวอาจอ้าง ทังหลาย 
ปู่มังราย ตัวก่างัวก่าควายดาฆ่า

ตัวก่าช้างก่าม้าดาชน ชน..อ้ายชน..ชน

                        คาถางัวธนูชน
โอม โคโณ มหาโคโณ
  งัวถึกหลวง
กรูมีเก้าพันหนอก
  สายหอก กรูมีเก้าพันวา
ผีสังมาทางหลัง หื้อมรึงไล่ฆ่า
ผีสังมาทางหน้า หื้อมรึงไล่ชน
เอ้า….ชนเจ้าธนู…..ชน! 

โองการวัวธนู
            อมโคโน งัวทะนู ผู้หน้ายาว กว้างศอก ตาปอก ฮอบเขาเสมน กูผาบสาม แผ่นฟ้าก็ตก กูผาบหก แผ่นฟ้าก็อ่อนค้อมมา สู่สมพานกูทั้งค่าย บ่อทำฮ้ายแก่กูสู ชาวเมืองบนแลลุ่มฟ้า ถ้วนหน้าให้มาถวาย ตัวกูมาก บ่อให้ยาก หมู่ทาสาทาสี ให้กูมีไซทุกค่ำซ้าว ให้กูได้เป็นเจ้า ไผจักเจ้าให้มาโลมเลี้ยงกู ให้อ่อนอ่อนฮ้อยท่อนท้าวมาถวายกูยียาบ
            กูจักผาบแพ้สับพะหมู่ศัตรู งัวทะนูเป็นวัสสุโพลาด อาจพาบแพ้เท่าซึงซม ภูอมกูจะให้นก นกก็ฮ้อง อมกูจะให้ฆ้อง ฆ้องก็ดัง อมกูจะให้คน คนก็ฮ้องซักไซ่คิดถึงกู ซาวซมภูฮักฮูบกูสู่คน ฮูป ปู่กูให้แทนเมืองสมพานเซืองคงขอบพัยฟ้า หมู่มนตรี ให้เขาอ่อนหากู ดังซ้างอ่อนขอ ให้อ่อนหากู ปานปอแสนน้ำอม โฟเฟ้าอมโพเจ้าเข่าสู่โพโซ อมเมตตัยยะ มาเป็นครูกู กูจักปุกงัวทะนูให้ลุก รักษาลือซา อมสวาหะ

คาถาเสกควายธนู
อมอุดเทตะยัง  สะนหิ  อมงัว ทะนูลูกแม่เฒ่ารักษาเจ้าให้ดี 
ผีสางสะเด็ดหนี  ขวักคว้าน  อมโคโนมหาโคโน อมโคโส 
มหาโคโส  สันทะ  สันทิ  จันทิหิ  อมมหาหิริโอตัมปะ 
สัมปัญโน  นะภาเวนุ  นุเวภานะ  เวภานะนุ  ภานะนุเว 
นะภาเวนุ  สัพปุริสา  โลเก  เทวะทำมาติ  วัดจะเร
                          

มีดหมอ (มีดอาคมประจำกาย)

มีดหมอ


            จากพจนานุกรม มีดหมอ น. มีดลงคาถาอาคมใช้ไล่ผี. มีดขนาดกลาง ใบมีดรูปร่างคล้ายมีดเหน็บ แต่โคนมีดมีชายแหลมโค้งออจากคมเล็กน้อย ใช้สำหรับประกอบในพิธีทางไสยศาสตร์.
            จากข้อสันนิษฐาน คำว่า “มีดหมอ” คำว่า หมอ ในที่นี้อาจจะมาจากคำว่า “หมอผี” ซึ่งในบรรดาหมอไสยศาสตร์ ทั้งหมอผีจะมีมีดที่ใช้ในการประกอบพิธีทางไสยศาสตร์ แต่เดิมคงจะเรียกกันว่า “มีดหมอผี” แต่เกิดการตัดเอาคำว่าผี หรือคำอื่นเพื่อให้สะดวกแก่การเรียกขานจากคำว่า “มีดหมอผี” จึงกลายมาเป็น “มีดหมอ” หรืออีกในหนึ่งที่มีดหมอหมายถึงตัวแทนครู “มีดครูหมอ” แต่คำว่าครูเป็นอุปสรรคในการออกเสียง จึงถูกลดลงเหลือสองพยางค์ว่า “มีดหมอ”

            ส่วนอีกคำสันนิษฐานหนึ่งมากจากคำว่า “มีดพระพุทธคีเนศร์” หรือที่รู้กันในนาม “มีดพระ” ที่พระเกจิอาจารย์ท่านต่างๆได้เมตตาสร้างไว้ เพื่อใช้ในการป้องกันตัวจากอันตราย ขับไล่ภูตผี ขับไล่เสนียดจัญไร เมื่อมีคนป่วยไข้จากภูตผีและเสนียดจัญไร หมอผีจะใช้มีดในการรักษาขับไล่ผี ดังนั้นจึงถูกเรียกว่า “มีดหมอ” เพราะใช้รักษานั้นเอง
            ส่วนทางล้านนา มีดหมอ จะถูกเรียกว่า “มีดครู” เพราะใช้เป็นตัวแทนของครู และยังถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “มีดแหก” อ่านว่า มีดแฮก คำว่าแฮก เป็นคำเมืองเหนือง คำนี้หมายถึงการกรีดลาก มีดแหกจึงเป็นมีดที่ใช้กรีดลากนั้นเอง ซึ่งมีชนิดนี้มักทำมาจากงาช้างกำจัด คืองาช้างที่หักคาติดอยู่กับต้นไม้ อีกนัยหนึ่งมีดหมอล้านนา อาจหมายถึง “มีดดาบสรีกัญไชย” ซึ่งมีลักษณะที่แบ่งมีดดาบสรีกัญไชยตามขนาดดังนี้
ดาบขนาด ๑ กำมือ แทนคุณครูบาอาจารย์ ซึ่งมีขนาดเท่ากับ “มีดครู”
ดาบขนาด ๓ กำมือ แทนคุณพระรัตนตรัยทั้งสามประการ
ดาบขนาด ๕ กำมือ แทนคุณพระพุทธเจ้าห้าพระองค์
ดาบขนาด ๙ กำมือ แทนคุณพระเจ้าทั้งหลาย คุณเทพ คุณอินทร์ คุณพรหมทุกๆ องค์ ทั่วทั้งจักรวาล

            มีดหมอ ก็มีอยู่หลายชนิดและหลายวัสดุที่ทำมาทำ มักมีการตั้งชื่อให้ตามส่วนประกอบ เช่น มีดดาบสรีกัญไชยทำตามตำราดาบสรีกัญไชย มีดหมอโสฬสทำตามตำราโสฬสหรือ โสฬสสะระตะ ดาบฟ้าฟื้นตามตำรามหาศาตราคม เป็นต้น

มีดโสฬส

            มีดหมอเป็นมีดที่มีไว้ปราบภูตผีปิศาจ ทำด้วยเหล็ก กว้างประมาณ ๕ เซนติเมตร ยาวประมาณ ๑๐ เซนติเมตร มีดหมอเป็นของใช้ประจำตัวของหมอพื้นบ้านแต่ละคนเชื่อกันว่า เมื่อคนถูกผีเข้าหมอผีจะใช้มีดหมอในการทำพิธีขับไล่ผีที่สิงอยู่ในตัวคน โดยการเสกเป่าคาถาเป่าเสก แล้วใช้มีดกรีดตามตัวคนที่ถูกผีเข้าสิง จะทำให้ผีร้ายที่สิงอยู่ออกไปจากตัวผู้เคราะห์ร้าย ในกรณีที่หมอผู้ทำพิธีไม่มีมีดหมอแล้ว ก็อาจใช้งาช้างกำจัด คืองาช้างที่หักคาติดอยู่กับต้นไม้ เป็นต้น หรือ งาช้างที่ทำพิธีแล้วมาแทนมีดหมอ ยิ่งไปกว่านั้นหมอที่ไม่ใช้มีดหมอหรืองาช้าง ก็จะใช้ไพลที่ชาวล้านนาเรียกว่า พูเลย แทน และว่ากันว่าหมอบางคนเห็นว่าผู้ป่วยหรือผู้เข้ารับการทำพิธีเป็นหญิงที่มีลักษณะถูกใจ ก็จะใช้พูเลยสั้นคือแง่งไพลที่มีขนาดเล็กสั้นกรีดไปตามตำแหน่งที่หมายตา พร้อมกันนั้นก็ถือโอกาสลูบคลำตัวผู้หญิงนั้นไปด้วย หมอดังกล่าวจะถูกเรียกว่า พ่อเลี้ยงพูเลยสั้น
 มีดแหก

            มีดหมอ หรือ มีดพระพุทธคีเนศร์ ก็ว่า เป็นมีดของหมอไสยาศาสตร์ผู้ประกอบพิธี หมอถือว่าเป็นตัวแทนของครูหมอ และใช้งานในการประกอบพิธีต่างๆ เช่น พิธีชาเรือน พิธีสะเดาะเคราะห์ เป็นต้น ลักษณะเป็ฯมีดเหน็บปลายแหลม ยาวประมาณ 1 ฟุต (รวมทั้งด้าม) มีฝักทำด้วยไม้สำหรับสวมเพื่อสะดวกในการใช้เหน็บที่สะเอวแล้วนำไปใช้ต่างสถานที่และป้องกันไม่ให้บาดผู้ใช้ได้ง่ายด้วย ด้ามของมืดทำด้วยไม้และแกะสลักเป็นรูปพระพิฆเนศวรนั่งคุกเข่าหันหน้าไปทางคมของมีด และมีรูปเทพนมที่บางคนเรียกว่า พุทธคีนา ยืนหันหลังติดอยู่กับพระพิฆเนศวร โลหะที่ใช้ตีมีดชนิดนี้ นิยมใช้โลหะตามตำราสร้างพระพุทธรูปผสมกัน คือ เหล็ก ปรอท ทองแดง เงิน และทองคำ เรียกว่า เบญจโลหะ หรือถ้าเพิ่มเติมเข้าไปอีกสองชนิด คือ จ้าว (ย่อมาจาก “จ้าวน้ำเงิน”  ซึ่งเป็นแร่ชนิดหนึ่งที่มีสีเขียวสีน้ำเงิน)  และ สังกะสีเรียกว่า “สัตตโลหะ” หรือภ้าเพิ่มเข้าไปอีก 2 ชนิด คือ ชิน และ บริสุทธิ์ (ทองแดงบริสุทธิ์) เรียกว่า “นวโลหะ” ทั้งนี้ถือว่าถ้ายิ่งโลหะผสมมาก มีดหมอก็จะยิ่งมีความศักดิ์สิทธิ์มาก หรือถ้าหารโลหะอื่นมาไม่ครบตามตำราก็อาจจะใช้เหล็กที่มีอาถรรพ์เช่น เหล็กจากยอดเจดีย์หัก สันมีดหร้าหัก และตะปูที่ใช่ตอกโลงศพมาแล้ว เป็นต้น 
มีดพระพุทธคีเนศร์

            ประโยชน์ของมีดหมอ  ใช้วางเป็นเครื่องบูชาคล้ายเป็นตัวแทนของพ่อครู และใช้ในการตัดสายสิญจน์ใบคา ตัดใบมะพร้าวเป็นรูปฉัตร ๕ ชั้น ใช้ในพิธีชาเรือน และอาจใช้พกเป็นอาวุธได้ด้วย

คัมภีร์มหาศาสตราคม
จากเรื่องขุนช้างขุนแผน บอกถึงส่วนประกอบต่างๆที่ใช้ทำดาบฟ้าฟื้น ดังกลอนที่จะกล่าวต่อไปนี้
ครานั้นขุนแผนแสนสนิท                      เรืองฤทธิ์รังสีไม่มีสอง
ได้ลูกชายเชี่ยวชาญกุมารทอง               ก็สมปองคิดไว้แต่ไรมา
จะจัดแจงตีดาบไว้ปราบศึก                   ตรองตรึกหาเหล็กไว้หนักหนา
ได้เสร็จสมอารมณ์ตามตำรา                  ท่านวางไว้ในมหาศาสตราคม
เอาเหล็กยอดเจดีย์มหาธาตุ                    ยอดปราสาททวารามาประสม
เหล็กขนันผีพลายตายทั้งกลม               เหล็กตรึงโลงตรึงปั้นลมสลักเพชร
หอกสัมฤทธิกริชทองแดงพระแสงหัก      เหล็กปฏักสลักประตูตะปูเห็ด
พร้อมเหล็กเบญจพรรณกลเม็ด              เหล็กบ้านพร้อมเสร็จทุกสิ่งแท้
เอาเหล็กไหลเหล็กหล่อบ่อพระแสง        เหล็กกำแพงน้ำพี้ทั้งเหล็กแร่
ทองคำสัมฤทธิ์นาคอแจ                          เงินที่แท้ชาติเหล็กทองแดงดง
เอามาสุมคุมคอยเข้าเป็นแท่ง                 เผาให้แดงตีแผ่แช่ยาผง
ไว้สามวันซัดเหล็กนั้นเล็กลง                 ยังคงแต่พอลามตามตำรา
ซัดเหล็กครบเสร็จถึงเจ็ดครั้ง                 พอกระทั่งฤกษ์เข้าเสาร์สิบห้า
ก็ตัดไม้ปลูกศาลขึ้นเพียงตา                    แล้วจัดหาสารพัดเครื่องบัตรพลี
เทียนทองติดตั้งเข้าทั้งคู่                            ศีรษะหมูเป็ดไก่ทั้งบายศรี
เอาสูบทั้งตั้งไว้ในพิธี                                เอาถ่านที่ต้องอย่างวางในนั้น
ช่างเหล็กดีฝีมือลือทั้งกรุง                       ผ้าขาวนุ่งผ้าขาวห่มดูคมสัน
วางสายสิญจน์เสกลงเลขยันต์                 คนสำคัญคอยดูที่ฤกษ์ราชสีห์
ขุนแผนสูบเหล็กให้แดงดี                        นายช่างตีรีดรูปให้เรียวปลาย
ที่ตรงกลางกว้างงามสามนิ้วกึ่ง               ยาวถึงศอกกำมาหน้าลูกไก่
เผาซุบสานแดงแทงตะไบ                         บัดเดี๋ยวใจเกลี้ยงพลันเป็นมันยับ
งามดีมิได้มีขนแมวพาด                             เลื่อมปราดเนื้อเขียวดูคมหนับ
เลื่อมพรายคล้ายแสงแมลงทับ                  เปล่งปลาบวาบวับคล้ายแสงตะวัน
ด้ามนั้นทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์                       จารึกยันต์พุทธจักรที่เหล็กกั่น
เอาผมพรายร้ายดุประจุพลัน                     แล้วเอาชันกรอกด้ามเสียบัดดล
ครั้นเสร็จสรรพจับแกว่งแสงวะวับ          เกิดโกลาฟ้าพยับโพยมหน
เสียงอื้ออึงเอิกเกริกได้ฤกษ์บน                 ฟ้าคำรณฝนพยับอยู่ครั่นครื้น
ฟ้าผ่าเปรี้ยงเปรี้ยงเสียงโด่งดัง                  ขุนแผนจิตฟูให้ชูชื่น
ได้นิมิตฟ้าเปรี้ยงดังเสียงปืน                     ให้ชื่อว่าฟ้าฟื้นอันเกรียงไกร
ยกขึ้นวางกลางศาลอ่านพระเวท              โดยเดชดาบดิ้นกระเดื่องไหว
เห็นประจักษ์ศักดิ์สิทธิ์ฤทธิไกร                ดีใจได้สมอารมณ์ปอง
เอาไม้ระงับสรรพยามาทำฝัก                    ประสมผงลงรักให้ผิวผ่อง
กาบหุ้มต้นปลายลายจำลอง                       ทำด้วยทองถ้วนบาทชาติบางตะพาน
            คัมภีร์มหาศาสตราคม หาเหล็กสําหรับทํามีดตามที่ระบุไว้ ในคัมภีร์มหาศาสตราคมมาจนครบถ้วนคือ
เอาเหล็กยอดพระเจดีย์มหาธาตุ ยอดประสาททวารามาประสม
เหล็กขนันผีพรายตายทั้งกลม เหล็กตรึงโลงตรึงปั้นลมสลักเพชร
หอกสําฤทธิ์กริชทองแดงพระแสงหัก เหล็กปฏักสลักประตูตาปูเห็ด
พร้อมเหล็กเบญจพรรณกัลเม็ด เหล็กบ้านพร้อมเสร็จทุกสิ่งแท้
เอาเหล็กไหลเหล็กหล่อบ่อพระแสง เหล็กกําแพงนําพี้ทั้งเหล็กแร่
ทองคําสําฤทธิ์นากอะแจ เงินที่แท้ธาตุเหล็กทองแดงคง
            ยังได้รวมด้วยเหล็กสารพัดบิ่น สารพัดหักอีกร้อยแปดชนิดมาร่วมด้วย เมื่อได้เหล็กมาพร้อมแล้ว จึงตั้งมณฑลพิธีล้อมด้วยราชวัฏฉัตรธงทั้ง๔ มุม ตรงกลางตั้งพิธีดาดด้วยผ้าขาว ลงยันต์เพดานทั้งหน้าหลัง แล้วหาเครื่องกระยาสังเวย สําหรับบูชาเทพยดาอารักษ์และครูบาอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาท อันประกอบด้วยมัจฉะมังษาหาร ๖ ประการ พร้อมเครื่องกระยาบวช ขนมแห้ง ขนมหวานอีกผลไม้ ๙ อย่าง เทียนเงินเทียนทองหนัก ๔ บาท ๑ คู่ เมื่อได้วันดีคือวันเสาร์ขึ้น ๑๕ คํา จึงบูชาครูบาอาจารย์และเทพยดาฟ้าดิน จึงเริ่มพิธีตีดาบขึ้นทันที
            เอาสูบทั่งตั้งไว้ในพิธี เอาถ่านที่ต้องย่างวางในนั้น ช่างเหล็กมีฝีมือลือทั้งกรุง ผ้าขาวนุ่งผ้าขาวห่มดูคมสัน วงสายสิญจ์เศกลงเลขยันต์ คนสําคัญคอยดูซึ่งฤกษ์ดี ครั้นได้พิชัยฤกษ์ราชฤทธิ์ พระอาทิตย์เที่ยงฤกษ์ราชสีห์ ขุนแผนสูบเหล็กให้แดงดี นายช่างตีรีดรูปให้เรียวปลาย ที่ตรงกลางกว้างงามสามนิ้วกึ่ง ยาวหนึ่งศอกกํามาหน้าลูกไก่ เผาชุบสามแดงแทงตะไบ บัดเดี๋ยวใจเกลี้ยงพลันเป็นมันยับแล้ว
ลงกั่นดาบข้างแบน ด้วยคาถาบารมีพระพุทธเจ้าคือ
อายันตุโภนโต อิธะทานะ สีละเนกขัมมะ ปัญญา สะหะวิริยะขันติ
สัจจาธิฎฐานะเมตตุเปกขา ยุทธายะโว คัณหะถะอาวุธานิ
ลงกั่นดาบด้านสัน ด้วยพระคาถาหัวใจพระยาสมาสดังนี้
นานามุสะระ หะระ บัพพะตะคะรุ กะลิงคะระ
สะระธนู คะทาสิโต มาระหัตถา มาระคะนา
เอาทองแดงที่ใช้สําหรับห่อหุ้มกั่นดาบมาลงถมด้วยพระคาถา นวหรคุณ ๑๐๘ คาบ
อะสังวิสุโลปุสะพุภะ
แล้วลงถมด้วยพระคาถาต่างอีก พระคาถาพุทธนิมิตร์ ลงถม ๙ คาบ
พุทธัสสะ อิธิพุทธัสสะ พุทธะนิมิตตัง ปฏิมานะพุทโธ
ธาตุพุทโธ นิมิตตะพุทโธ กายะพุทโธ สูญญะพุทโธ
เอคะตานัง กายะรูปะสูญยัง พุทธะนิมิตตัง อิทธิฤทธิ์พุทธะ
นิมิตตังลงถมอีก ๙ คาบด้วยคาถา
อะสิ สัตติ ธนูเจวะ สัพเพ เต อาวุทธานิ จะ
ภัคคะภัคคา วิจุณณานิ โลมังมาเมนะผุสสันติ
ตามด้วยคาถาพรหมสี่หน้าลงถมอีก ๙ คาบ ว่า
 สหัสสะสีเส ปิเจโปโส สีเสสีเส สะตังมุกขา มุกเข มุกเข
สะตังชิวหา ชีวะกัปโป มหิทธิโก นะสักโกติ จะวัณเณตุง
ตามด้วยคาถาลงถมอีก ๙ คาบ บารมี ๓๐ ทัศน์ ว่า
อิติปารมิตาติงสา อิติสัพพัญญูมาคะตา
อิติโพธิมนุปปัตโต อิติปิโสจะเตนะโม
ลงถมด้วยคาถามงกุฏพระพุทธเจ้า ๙  คาบ ว่า
อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ
อิเมนาพุทธะตังโสอิอิโสตังพุทธะปิติอิ
และตามด้วยอรหันต์ ๘ ทิศ ๙ คาบ ว่า
                                    อิระชาคะตะระสา ติหังจะโตโรถินัง
                                    ปิสัมระโลปุสัตพุท โสมาณะกะริถาโธ
                                    ภะสัมสัมวิสะเทภะ คะพุทปันทูทัมวะคะ
                                    วาโธโนอะมะมะวา อะวิสุนุสานุติ
 แล้วตามด้วย คาถา ๙ คาบ
พุทธังกันตัง ธัมมังกันตัง สังฆังกันตัง
พุทธังสิทธิ ธัมมังสิทธิ สังฆังสิทธิ
 แล้วลงถมตามด้วยคาถา ๙ คาบ
                                    นะผุด ผัดผิด ปฏิเสวามิ
แล้วจึงลงประทับด้วยคาถานี้อีกครั้งหนึ่งว่า
สัตถาธะนุง อากัตถิตุง ทัตวา วิสัชเชตุง นาทาสิ
( บทนี้เมื่อลงให้ผ่อนลมหายใจออกลงจบเดียว )
กัณหะเนหะ หายใจเข้าพุทธังปัจจุขาด
ธัมมังปัจจุขาด สังฆังปัจจุขาด
( หายใจเข้าออก สลับกันไปทีละบท )
 สําหรับแผ่นทองแดงด้านหลังนั้นลงประทับด้วยพระคาถานี้
 อะระหัง สุคะโต ภะคะวา
ลงถม ๙ คาบแล้วตามด้วย
นะโมพุทธายะ อิติปาระมิตาติงสา โนวะปะตานุภาเวนะ
มาระเสนา อะติกกันตา มาระนิทรา ทัสสะปาระมิตา
ทะมาระนิทรา ปาระชังฆานิทรา ทัสสะปาระมิตา โลหะกันตา
นามะเตนะโม มาตาปิตุพุทธะคุณัง สัพพะสัตรูวิธังเสนตุ
อะเสสะโต เอวังทัสสะวัณโณ ปฏิฐิตัง จักรวาฬะ
สัพพะสัตตานุภาเวนะ มาราโมระอะติกกันตา
ทัสสะพรหมมานุภาเวนะ สัพพะสัตรูวินาสสันติ
เมื่อลงทองแดงห่อกั่นดาบแล้ว จึงเอาเกสร ๑๐๘ และยามุกใหญ่มาบดให้ละเอียด เพื่อบรรจุในด้าม (ยามุกใหญ่คือยาสารพะดอย่าง ) หินซึ่งใช้บดยานั้นลงด้วยพระคาถา มหาโสฬสมงคล ลงถม๙ คาบ ตามด้วยคาถาหัวใจพระธรรมเจ็ดคําภีร์๙ คาบ คาถาพรหมสี่หน้า ๙ คาบ คาถาพุทธนิมิต ๙ คาบคาถาพระเจ้า ๑๖ พระองค์ ๙ คาบคาถาอะระหันต์ ๘ ทิศ ๙ คาบคาถาบารมี ๓๐ ทัศน์ ๙ คาบ คาถาหัวใจสนธิ งะญะนะมะ ๙ คาบ คาถาพระกรณีย์ จะภะกะ๙ คาบ ขณะบดยาให้ภาวนาพระคาถานี้
งะญะนะมะ จะภะกะสะ นะมะพะทะ
อะระหังสุคะโตภะคะวา  อิกะวิติ
อิสวาสุ สุสวาอิ นะโมพุทธายะ
อะสังวิสุโลปุสะพุภะ ปะติลิยะติ
พุทธังสิทธิ ธัมมังสิทธิ สังฆังสิทธิ
จนกว่าจะบดยาเสร็จด้ามมีดให้ใช้ไม้ ชัยพฤกษ์ แกะเป็นรูปท้าวเวสสุวรรณ เขียนคาถาเป็นตัวเลข ลงที่องค์ท่าน
ลงเลข ๓ ตรีนิสิงเหที่ปากท้าวเวสสุวรรณ ว่าด้วยสูตรคือ
                                    มะอะอุตรีนิสิงเห
ลงเลข ๗ ที่ตาทั้งสองของท่านว่าสูตร
                                    สะธะวิปิปะสะอุสัตตะนาเค
ลงเลข ๕ ที่อกของท่านว่า
อาปามะจุปะปัญจะเพชรฉลูกัญเจวะ
ลงเลข ๔ ที่หัวไหล่ทั้งสองของท่านว่า
นะมะพะทะจัตตุเทวา
ลงเลข ๖ ที่ขาทั้งสองของท่านว่า
อิสวาสุฉอวัชชะราชา
ลงเลข ๕ ที่ด้านหลังท่านว่า
ทีมะสังอังขุปัญจะ อินทรานะเมวะจะ
ลงเลข ๑ ที่ตาตุ่มทั้งสองข้างว่า
มิเอกะยักขา
ลงเลข ๙ ที่ศรีษะท่านว่า
อะสังวิสุโลปุสะพุภะนวะเทวา
ลงเลข ๕ ที่แขนซ้ายว่า
                                    สหะชะตะตรีปัญจะพรหมาสะหะบดี
ลงเลข ๕ ที่แขนขวาว่า
                                    นะโมพุทธายะ ปัญจะพุทธานะมามิหัง
ลงเลข ๒ ที่ศอกทั้งสองข้างว่า
                                    พุทโธทะเวราชา
ลงเลข ๘ ที่สะโพกทั้งสองข้างว่า
เสพุเสวะเสตะอะเส อัฏฐะอะระหันตา
ใช้พระคาถาท้าวเวสสุวรรณลงด้ามมีดให้ทั่วว่า
เวสสุวรรโณมหาราชา สัพเพเทวาเสเจวะ
อาฬะวะกาทะโย ปิจะขัคคัง ตาละปัตตัง
ทิสวา สัพเพยักขา ปะลายันติ
เวสสุวรรโณมหาราชา จัตตุโลกะปาลายัสสะสิโน
อิติภูตา มหาภูตา สัพเพยักขาปะลายันติ
ลงกระบองท้าวเวสสุวรรณด้วย
            นะโมพุทธายะ
จบคัมภีร์มหาศาสตราคม


            ถ้าไม่สร้างมีดหมอขึ้นมาเอง ก็เลือกหาบูชาเอาจากเกจิอาจารย์ท่านต่างๆ ซึ่งเมื่อเลือกมีดที่ถูกใจได้แล้วให้หันปลายมีดออกจากตัว  แล้วใช้หัวแม่โป้งข้างขวาวางลงที่คมมีด “ศรีวิชัย ภัยนิรันดร์ สุพรรณลาภ ปราบนคร จรประสิทธิ์ ฤทธิเดช วิเศษสมบัติ พลัดบ้านเมือง เลื่องลือยศ” หนึ่งนิ้วหัวแม่มือให้ท่องคาถาหนึ่งคำ จากคาถา ๙ คำนี้ แล้วนิ้วหัวแม่มือสุดปลายมีดในคำไหนให้พิจารณาตามความหมายถึงความหมายดีก็เก็บไว้ แต่คถ้าวามหมายไม่ดี แม้มีดจะสวยงามเพียงใดไม่ควรจะเก็บไว้ ความหมายของคำในคาถาทั้งหมดว่าดังนี้ 
๑. ศรีวิชัย เป็นอาวุธคู่บารมี ชนะในทุกที่
๒. ภัยนิรันดร์ พาเจ้าของเดือดร้อนตลอดเวลา
๓. สุพรรณลาภ จะได้แก้วแหวนเงินทอง
๔. ปราบนคร จะได้บ้านเมืองมาเป็นข้าขอบขัณฑสีมา
๕. จรประสิทธิ์ ไปไหนก็พบกับความสำเร็จทุกที่
๖. ฤทธิเดช เป็นมหาอำนาจ ศัตรูคร้ามเกรง
๗. วิเศษสมบัติ จะร่ำรวยมหาศาล
๘. พลัดบ้านเมือง จะตกระกำลำบาก พลัดบ้านพลัดเมือง
๙. เลื่องลือยศ จะมีชื่อเสียงเกียรติคุณขจรขจาย


ปล. มีดหมอของดีจริงไม่จริง ดูจากตรงไหน ถ้าหากว่ามีดหมอด้ามนั้นดีจริง ใครที่มีไว้ครอบครองคงไม่ปล่อยให้หลุดมือไปเป็นของคนอื่นหรอกนะครับ ใครเขาคงอยากเก็บไว้มากว่า