ผีกะ

ผีกะ
       จากที่ผมได้สอบถามผู้เฒ่าผู้แก่หลายท่าน(ที่หมู่บ้าน และก็ต่างบ้านต่างจังหวัด) เรื่องผีกะ
       ผีกะ เป็นคนประเภทหนึ่ง ที่เป็นโรคจิตระดับต่ำถึงปานกลาง ถ้ารุนแรงจะเรียกว่า ปอบ แต่ที่แน่ๆคืออาจจะไม่ใช้แค่คนโรคจิตก็เป็นได้ หากถูกผีกะสิงจริงๆ
       ผีกะเป็นผีล้านนาแท้ๆ ผีกะจะสิงอยู่ในคน คนที่ถูกผีกะสิงจะทำตัวไม่เหมือนคนอื่นทั่วไป ผีกะมีหลายประเภท และระดับความแข็งแกร่งของผีกะถ้ามากๆ ก็จะมีการเรียกชื่อเฉพาะ สำหรับผู้ที่ถูกผีกะสิงนั้น จะเต็มใจให้สิง หรือไม่เต็มใจให้สิง ก็ตามแต่ผู้ที่ถูกผีกะสิงจะมีนิสัยผีกะเหมือนกัน มีท่านผู้รู้สันนิษฐานว่าผีกะ มาจากคำสองคำคือ ผี + ตะกะ ตะกะที่หมายความว่ากินมากอย่างไม่รู้จักพอ กินทุกอย่างที่ขวางหน้า ยิ่งของที่ชอบจะกินเยอะเป็นพิเศษและทำทุกวิถีทางให้ได้กิน ดังนั้นผีกะจึงเป็นผีที่สิงอยู่ในคนที่กินเยอะมาก เยอะกว่าที่คนธรรมดาเขากิน สำหรับผีกะที่ชั่วร้ายหรือผีกะที่ค่อนข้างไม่ดีมักจะชอบกินอาหารที่พิสดารยิ่งกว่าอาหารพิสดารทั่วไป เช่นของดิบ ของคาวสดๆ ยิ่งเป็นๆยังไม่ตายได้ยิ่งดี ส่วนผีกะอีกพวกเป็นการยินย่อมของคนที่ให้ผีกะสิงเป็นที่อยู่อาศัย
       แต่สำหรับคนที่เลี้ยงผีกะ จะมีสองแบบคือ ยินยอมให้ผีกะสิง กับไม่ยินย่อมให้ผีกะสิง สำหรับคนที่เรียกผีกะทั้งสองแบบนี้จะเป็นที่มีคาถาอาคม ผีกะจะกูกนำไปใส่ไว้ในหม้อดิน มีผ้าขาวปิดเป็นฝา เก็บไว้บนเสาบ้าน บนเพดานบ้าน บนคานบ้าน และจะต้องเลี้ยงเซ่นด้วยไข่ดิบ(นิยมไข่ไก่)วันละหนึ่งฟองโดยจะใส่ไว้ในหม้อดินเป็นประจำ และเปลี่ยนเอาไข่กลวง ซึ่งถูกผีกะเจาะกินไปทิ้ง ผีกะที่อยู่ในหม้อดินจะสิงอยู่ในสิ่งมีชีวิตที่ยังโตไม่เต็มที่เช่น หนอน ลูกนกน้อยที่ขนไม่ขึ้น ลูกหนูที่ตายังไม่ปลิเปิด ถ้าวันใดลืมเลี้ยง หรือมีใครเอาลงมาฆ่า นั่นหมายถึงชีวิตของคนในบ้าน และผู้เลี้ยงผีกะ สำหรับผีกะที่มีคุณก็มี ที่เรียกกันว่า ผีกะพระ-นาง เป็นการนำมาใช้ในการแสดง ไม่ว่าจะเป็นลิเก นักร้องนักดนตรี ผีกะชนิดนี้จะมีลักษณะเหมือนลิง คล้ายวอกคล้ายค่างตัวเล็กๆสองตัวนั่งบนบ่าของคนเลี้ยง คุณประโยชน์ของผีกะชนิดนี้คือ ไม่ว่าคนเลี้ยงจะหน้าตาขี้เหร่ อัปลักษณ์ขนาดไหน ถ้าตกกลางคืนผีกะจะเลียหน้าคนเลี้ยง ทำให้หน้าตาสวยขึ้น หล่อขึ้น ยิ่งดึกมากก็ยิ่งหน้าตาดีมาก การเลี้ยงผีกะจึงถือได้ว่าเป็นแฟชั่นของนักแสดงภาคเหนือ และอาจจะหมายถึงการศัลยกรรมของชาวเหนือด้วย ผีกะมีคุณอนันต์แต่ก็มีโทษมหันต์ หากใครเลี้ยงไม่ดี ปล่อยให้ผีกะอดๆอยากๆ มันก็จะทำให้เจ้าของกลายสภาพเป็นกึ่งคนกึ่งภูติ ชอบสิงสู่ชาวบ้านกินตับไตไส้พุง
ผีกะมีหลายชนิดดังนี้
ผีกะพระ-นาง
       ผีกะต้นฉบับดั้งเดิม ไม่มีใครรู้ว่ามาจากที่ไหน แต่เป็นที่นิยมเลี้ยงกัน เพื่อให้มันเรียกคนดูมาชม ทำให้คนดูหลงไหลในการแสดงของนักแสดงคนนั้นๆ แม้ว่ากลางวันจะขี้เหร่แค่ไหน แต่ตอนกลางคืนผีกะสามารถทำให้นักแสดงคนนั้นๆสวยหรือหล่อหยาดฟ้ามาดินได้สำหรับคนทั่วไปก็มีการเลี้ยง ให้สังเกตง่ายๆว่า คนที่เราเห็นนั้นกลางคืนดูหน้าตาดีกว่ากลางวัน ยิ่งดึกยิ่งหน้าตาใส ยิ่งดึกยิ่งสวย ยิ่งดึกยิ่งหล่อ สันนิฐานได้ว่าอาจเลี้ยงผีกะชนิดนี้ไว้ (ระวังให้ดีนะครับ แฟนของคุณอาจเลี้ยงผีกะก็ได้ แต่ก็อาจจะดีสำหรับใครอีกหลายคนที่หน้าตาไม่ดี จนแฟนทำอะรัยไม่ลง ผีกะอาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่ดีก็ได้ เพราะยิ่งดึกคุณจะยิ่งหล่อ ยิ่งสวย และเลี้ยงให้ดีๆล่ะ เดี๋ยวกลายเป็นผีร้ายจะยุ่ง)

ผีกะดง
       จากคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ บอกว่าผีกะดงนี้ มีอยู่จริงในนิทานพื้นบ้าน ในอำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ ผีกะชนิดนี้มีความดุร้าย วิ่งไวดุจลมพัด มักออกหากินเป็นฝูงในยามพลบค่ำ แต่น้ำลายของผีกะชนิดนี้วิเศษมาก สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ทุกชนิด ทำให้ร่างกายมีความคงกระพันชาตรี ดังมีเรื่องเล่าว่า มีชายหนุ่มผู้หนึ่ง หลงรักลูกสาวของคหบดีในตัวเมือง แต่พ่อตาไม่ชอบเพราะว่าชายหนุ่มจน และจัดการให้ลูกสาวของตนแต่งงานกับชายหนุ่มที่มั่งคั่ง ฝ่ายเจ้าบ่าวเองก็ทราบเรื่องของเจ้าสาวดี จึงส่งคนมาทำร้ายคนรักของเจ้าสาว และหิ้วไปทิ้งในป่า ชายหนุ่มสะบักสะบอม เจ็บทั้งกายและใจ แต่ก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ ได้แต่ปลงต่อความตาย รอให้สัตว์ร้ายในป่ามากิน ประจวบกับเวลานั้น มีฝูงผีกะดงกำลังออกหากิน ลูกฝูงผีกะจับขาชายหนุ่มเพื่อลากไปเป็นอาหาร ชายหนุ่มนิ่งเงียบปลงต่อชีวิต หัวหน้าผีกะแปลกใจมาก จึงห้ามลูกฝูงและสอบถามเรื่องราว ชายหนุ่มเล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมด หัวหน้าผีกะเห็นใจ จึงบอกว่า หากชายหนุ่มยอมนับถือพวกตนเป็นผีประจำตระกูล จะช่วยให้ชายหนุ่มได้สมหวัง ชายหนุ่มตอบตกลง ผีกะจึงพากันรุมเลียตัวของชายหนุ่ม ด้วยอานุภาพน้ำลายบาดแผลจากการถูกทำร้ายหายสนิท ฝูงผีกะพาชายหนุ่มนั่งบนบ่า บุกบ้านแต่งงาน ลูกน้องของเจ้าบ่าวรุมทุบ รุมฟาดชายหนุ่ม แต่ก็ไม่อาจทำร้ายชายหนุ่มได้แม้ปลายขน เพราะฝูงผีกะดงกำบังตาไว้ และถีบลูกน้องจนกระเด็นตกเรือนกันหมด พวกผีกะพาเจ้าบ่าวและเจ้าสาวออกมาโดยสะดวก หัวหน้าผีกะให้ทองคำและสมบัติที่พวกตนเฝ้ารักษาไว้ ชายหนุ่มปฏิบัติตามคำสัญญาและนับถือผีกะเป็นผีประจำตระกูลตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา(ผีกะดงถึงจะร้าย แต่ก็จิตใจงดงามกับคนดีนะคับ สำหรับคนชั่วกะจะไม่รังเลที่จะลากไปกิน)

ผีกะอาคม
       การเรียนวิชาอาคมในสมัยโบราณ ครูจะหวงวิชามาก ดังนั้นก่อนการเรียนจะต้องมีการขึ้นครูก่อนเสมอเพื่อให้อาคมนั้นสามารถรักษาผู้เรียนได้ มีคนบางคนที่เรียนอาคมโดยไม่ได้ขึ้นครูก่อน จึงโดนคำสาปที่ครูสาปแช่งไว้ในปั๊บหรือตำรานั้นๆ ทำให้กลายเป็นผีกะ ผีกะชนิดนี้จะสิงสู่ในตัวผู้เรียนโดยไม่รู้ตัว แต่ยามค่ำคืนมันจะออกไปหาอาหาร โดยแปลงตัวให้เหมือนหน้าร่างกายที่มันสิงอยู่ (ระวังให้ดีพวกที่ไม่มีครูบาอาจารย์ ผมขอแนะนำว่าถ้าไม่มีครูบาอาจารย์จริงๆก็พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั่นแหละคับ จะเป็นที่พึ่งของเราได้ ถึงแม้ว่าคำสาปจะแรงขนาดไหนก็อาจมากไปกว่าคุณพระรัตนตรัยได้ แต่ผมสนับสนุนให้มีครูดีกว่า)

ผีกะตระกูล
       ผีกะอีกสายหนึ่งที่มีคุณอนันต์เช่นกัน ผีกะชนิดนี้เป็นที่นิยมเลี้ยงแพร่หลายของชาวภาคเหนือ วิธีสังเกตว่าบ้านไหนเลี้ยงผีกะ ให้ดูนาของบ้านนั้นๆ ไม่ว่านานั้นจะอยู่ที่ดอนหรือที่ลุ่ม ไม่ว่าฝนจะแล้งหรือฝนจะขาด นาของบ้านที่เลี้ยงผีกะจะอุดมสมบูรณ์เสมอ ไม่มีแมลงมากวน ไม่มีโรคระบาด ผีกะชนิดนี้เลี้ยงดีมีคุณมาก ถ้าเลี้ยงไม่ดีผีจะออกหากินสิงสู่ชาวบ้าน เมื่อโดนหมอผีไล่ มันก็จะประจานผู้เลี้ยงทำให้อับอายขายขี้หน้าชาวบ้าน.(มีคุณมากคับผีกะชนิดนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นการเลี้ยงแบบสืบทายาท ดูน่ากลัวนิดหน่อย และถ้ากลายเป็นผีร้ายอาจทำให้คนเลี้ยงตายได้ จะหาหมอผีหมอดีที่ไหนมาช่วยก็ช่วยไม่ได้)

ผีกะตายโหง
       คนบางคนเมื่อตายโหง จิตใจยังพะวกพะวนกับโลก จึงสิงสู่ในที่ๆตนตาย แต่เพราะความยึดถือในกายว่าตนยังไม่ตาย เมื่อไม่ได้กินอะไรนานๆเข้า มันหิวกระหาย จึงสิงสู่คนผู้มีจิตอ่อนแอทำให้กลายเป็นผีกะโดยไม่รู้ตัว ผีกะชนิดนี้มีอยู่จริงๆ จากเรื่องเล่าของแม่อุ้ยท่านหนึ่ง ว่า มีคนผู้หนึ่งชื่อ หนานเจต ทำนาที่ริมเขตเมืองเก่าแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย(ทางอำเภอเชียงของ) โดยไม่รู้ว่าที่ตรงนั้นเคยมีคนถูกควายขวิดตาย วิญญาณของคนผู้นั้นจึงสิงสู่หนานเจต พอค่ำลงที่ใกล้ๆหนานเจตนั้นมีชาวบ้านคนหนึ่งทำนาอยู่ หนานเจตเดินเข้ามาหาชาวบ้านคนนั้น ชาวบ้านถามว่ามีอะไร หนานเจตไม่ตอบแต่ดวงตาค่อยๆแดงก่ำและมีเขี้ยวงอกออกมา กระโจนเข้าหาชาวบ้านผู้นั้น ชาวบ้านคนนั้นวิ่งหนีลงมาจากระท่อมนาอย่างขวัญกระเจิง มาหาพ่อของย่าที่กำลังนอนอยู่ บอกให้ช่วยไล่ผีไปที พ่อของย่าจึงถือไม้ไผ่และสายสิญจน์เดินไปดู แต่หนานเจตกลับไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป ยังคงนอนหลับอยู่ที่ห้าง ผีกะชนิดนี้จึงอาศัยร่างต้นเหมือนปรสิตวิญญาณ จะพาร่างกายออกหากินในยามเจ้าของหลับ (ถ้าเลเวลสูงๆ ก็จะถูกเรียกว่า ผีปอบ)

นกเค้าผีกะ
       ผีกะชนิดนี้มีทูตเป็นนกเค้าแมว สังเกตได้ง่ายว่าหากจะมีผีกะมาเยือนหมู่บ้านไหน กลางคืนคืนนั้นจะมีนกเค้าแมวมาร้อง ทั้งๆที่ไม่ใช่ฤดูที่นกควรร้อง(ฤดูหนาว) รุ่งเช้าคนที่เข้ามาหมู่บ้าน ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผีกะ

สำหรับระดับความร้ายของผีกะก็จะมีชื่อเรียกเฉพาะไปจนไม่ถูกเรียกว่าเป็นผีกะ
       ผีกะที่เข้าสิงคนตอนกลางคืนออกไปหาของกินในยามวิกาลที่คนหลับและคนที่ถูกสิงหลับไม่รู้ตัว ของกินที่ชื่นชอบคือไก่ที่ยังไม่ตาย ส่วนอาหารอันโอชะของผีกะชนิดนี้คือ ไส้คนสดๆกินตอนที่คนยังไม่ตาย ผีกะชนิดนี้ถ้าใครถูกสิงจะตายยากตายเย็น ถูกยิงก็แล้ว ก็ยังไม่ตาย เมื่อเข้าสิงเล็บจะยาวตาจะแดง มีชื่อเฉพาะว่า ผีปอบ
       ผีกะที่เป็นผีกะดง ผีกะตระกูล หรือผีกะพระนาง ถ้ากลายเป็นผีร้ายและออกหากินในเส้นทางเดียว หมอผีปราบไม่ได้ ก็จะถูกขนานนามว่า ผีม้าบ้อง ผีม้าบ้องอาจกลับกลายมาเป็นผีดีได้
       ผีกะอีกประเภทหนึ่งเป็นผีประเภท อารักษ์ใหญ่เรียกขานกันทั่วไปว่า ผีกะยักษ์มีหน้าที่เผ้ารักษาวัดร้าง เจดีย์เดิม กรุสมบัติ ป่าดงดิบ เป็นต้น ผีกะยักษ์เป็นผีที่มีฤทธิ์เดชมาก ปกติจะไม่ทำอันตรายแก่มนุษย์ แต่ถ้ามนุษย์เป็นผู้รุกรานก่อน เช่น ลักขุดสมบัติ ตัดไม้ใหญ่ หรือทำการใดที่ผิดป่าผิดธรรมชาติ ผีกะยักษ์จะทำร้ายให้ถึงแก่ชีวิตโดยพลัน ดังนั้นก่อนจะกระทำการใด ๆ กับสถานที่ที่มีผีกะยักษ์เฝ้ารักษาอยู่ ต้องมีพิธีเซ่นสรวงตามความเชื่อก่อนเสมอ (ผีกะยักษ์ไม่ใช่ผีเสื้อวัดนะคับ มันมีคุณเหมือนกันแต่คนละผีกัน ผีกะชนิดนี้อาจเกิดจากพระภิกษุเณรที่ทุศีล ศีลขาดเป็นประจำ ขาดซ้ำขาดซ้อน ก็จะกลายเป็นผีกะยักษ์ไดในบางกรณีคับ)
       ผมจะบอกวิธีพิสูจน์ว่าใครเป็นผีกะ และการไล่ผีกะนะคับ ในอดีตชาวบ้านที่ไม่ต้องการให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นบุตรหลานของตนไปข้องแวะ คบหาหรือแต่งงานกับหญิงสาวในตระกูลผีกะ จึงมักแนะนำให้ลองสังเกตดูว่าสาวที่หมายปองนั้นเป็นผีกะหรือไม่ ให้นำ ตองกล้วยงำเครือคือใบตองของยอดตองกล้วยที่แผ่ใบปกเครือกล้วยอยู่ นำมาเสกเป่าด้วยคาถา แล้วมองผ่านลอดใบกล้วยนั้น ซึ่งบางแห่งว่าให้ใช้ใบพลูก็ได้ และบ้างก็ว่าเพียงก้มมองลอดหว่างขาของตน จะพบว่ามีวอก ๒ ตัว อยู่ข้างหญิงสาว วอกทั้งสองจะคลอเคลียและแลบลิ้นเลียบริเวณแก้มและใบหน้าหญิงสาวให้ดูงดงามผุดผ่องอยู่เสมอ กล่าวกันว่า ยิ่งดึกสาวเจ้าจะงดงามชวนให้ลุ่มหลงขึ้นเรื่อย ๆ
       การไล่ก็มีไม้แข็งแบบป่าเถื่อน ไปจนถึงไม่อ่อนๆ ที่ป่าเถื่อนที่สุดคือ เฆี่ยนด้วยหวายอาคมหรืออะไรก็ดี ที่อ่อนที่สุดผมเห็นว่าน่าจะเป็นเป่าคาถาใส่หัวผู้ที่ถูกผีกะสิง โดยเป่าคาถาลงกลางกระหม่อม อีกวิธีที่ได้รับความนิยมที่สุดคือ ดื่มน้ำมนต์ วิธีที่ดูน่ากลัวแต่ไม่ป่าเถื่อนก็มีการแหกด้วยมีดหมอ การมัดคอ การขูดหัวหม้อ และวิธีที่ไล่มีเปอร์เซ็นต์สำเร็จน้อยที่สุดเห็นจะเป็น ข้าวสารเสก หรือข้าวสารซัด นั้นเอง ยังมีวิธีที่พิสดารกว่านั้นผมว่าไม่สนับสนุนเรื่องนี้ คือการใช้ยาอาถรรพ์ สำหรับพ่อหมอ หรือหมอคาถานั้นเป็นผู้ชายนะคับ ผมก็พอที่จะเรียกได้ว่าเป็นหมอคาถาคนหนึ่ง การใช้ยาอาถรรพ์ที่ปรุงไว้มาลูบไล้ตัวผู้ถูกผีกะสิง ถ้าเป็นผู้ชายด้วยกันก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นผู้หญิงเป็นหญิงสาวอีกต่างหาก อันนี้ใช้วิธีอื่นดีกว่านะคับ เดี๋ยวตบะพ่อหมอจะแตก และจะเป็นการลวนลามอีกต่างหาก

จบเรื่องผีกะไว้เพียงเท่านี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น