ผ่าจ้าน คือ ?
ผ่าจ้าน
เป็นพิธีกรรมเพื่อทำให้คนที่รักกันนั้นหมางใจไปจากกัน
จากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบพิธีผู้หนึ่ง ทราบว่าวิธีการผ่าจ้านนี้อาจทำได้หลายแบบ
ซึ่งในแต่ละแบบก็อาจมีความผิดแผกกันไปในรายละเอียดของการประกอบพิธีก้ได้
แต่ในรายที่ศึกษานี้พบว่าการผ่าจ้านอาจทำได้ ๔ รูปแบบ คือ
๑. การทำเทียน
๒. การตัดกระดาษ
๓. การผ่าผลไม้
๔. การเขียนปู
ในแง่ของอาจารย์ประกอบพิธีนั้นมักจะเป็นชายสูงอายุที่ได้บวชเรียนแล้ว มีความรู้ทางวิชาเวทมนตร์ สามารถจดจำ คาถาอาคมได้ มีจิตใจเข้มแข็ง และจะต้องประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมจรรยา ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ ไปวัดทำบุญรักษาศีลอู่เสมอ และไม่เปิดเผยชัดเจนว่าเป็นผุ้ประกอบพิธีเช่นว่านี้
ปกติแล้วอาจารย์จะไม่ประกอบพิธีนี้ให้แก่ผู้ใดง่ายๆ เมื่อมีผู้เดือดร้อนอย่างเช่น ภรรยาซึ่งผัวมีเมียน้อยไปปรึกษาอาจารย์ก็จะพิจารณาดูจากชื่อ นามสกุลทั้งสองฝ่าย และอาจดูจากทะเบียนสมรสด้วยก็ได้ จากนั้นก็จะให้คำแนะนำเพื่อการปฏิบัติที่เป็นไปได้เสียก่อน ต่อเมื่อเห็นว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงการผ่าจ้านแล้ว จึงจะรับทำให้ โดยมีข้อห้ามไว้ด้วย ดังนี้
๑. ไม่ผ่าจ้านสามีภรรยาที่มีบุตรด้วยกันหรือถูกต้องตามกฏหมาย
๒. ไม่ผ่าจ้านให้พ่อแม่แยกจากลูก
๓. ไม่ผ่าจ้านให้อาจารย์และศิษย์แยกจากกัน
๔. ไม่ผ่าจ้านให้พี่น้องแยกจากกัน
เมื่อตกลงว่าจะผ่าจ้านแน่แล้ว ผู้ประกอบพิธีจะให้ผู้มาทำพิธีตัดบาปเสียก่อน โดยประกอบพิธีต่อหน้าพระพุทธรูป ทั้งนี้อาจารย์ผู้ประกอบพิธีกล่าวนำให้ผู้มาให้ทำพิธีกล่าวตาม มีเนื้อหาว่าผู้มาให้ทำพิธีรับรู้ว่าการกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดบาป และผู้มาให้ทำพิธีจะขอรับบาปที่เกิดขึ้นแต่ผู้เดียว จากนั้นก็จะนัดหมายให้นำเอาสิ่งของหรือชื่อสกุลวันเดือนปีเกิดของผู้ที่จะได้รับผลของพิธีมาให้ ผู้มาให้ทำพิธีจะต้อง ขึ้นขันตั้ง คือจัดเครื่องพิธีเพื่อมอบภาระให้ผู้ประกอบพิธีดำเนินการตามประสงค์ โดยที่การขึ้นขันตั้งจะมีรายการสิ่งของที่ต้องการดังนี้
๑. เงินค่าครู ๒๕ บาท (๑๐๐ สลึง)
๒. สวยดอก หรือกรวยดอกไม้ ๔ อัน (๒ คู่)
๓. สวยพลู (อ่านว่า “สวยปู”) คือกรวยใส่ใบพลู ๔ อัน (๒ คู่)
๕. เทียนขี้ผึ่งแท่งบาท แท่งเฟื้อง แท่งขนาดเล็ก อย่างละ ๔ คู่
๖. กระทงข้าวเปลือกและข้าวสารอย่างละ ๑ กระทง
๗. ผ้าขาวผ้าแดงอย่างละพับ (๑ เมตร ๑ ศอก หรือ ๑ คืบ)
อาจารย์ผู้ประกอบพิธี นำเครื่องกำนัลค่าครูดังกล่าวใส่พานไปวางบนหิ้งบูชาครูแล้วกล่าวคำโองการในการทำพิธีผ่าจ้าน ดังนี้
“สิทธิกิจจัง สิทธิกัมมัง สิทธิลาภัง สิทธิกากโต สิทธิอิติปิโสภควา ตะลาลา พรหมา เทวตา จ พิษณุกันเต วา สิทธิ เม”
“ข้าพเจ้าจักทำพิธีผ่าจ้านหื้อ….(ชื่อผู้ที่ต้องกรให้ได้รับผลคนหนึ่ง) กับ….(ชื่อของผู้ที่ต้องการให้รับผลอีกคนหนึ่ง) ได้ละจากกัน ได้ละทิ้งกันนานแสนนาน พระพุทธเจ้า พระธัมมเจ้า พระสังฆเจ้า เทวบุตรเทวดาตนรักษาบ้านเมืองเหมืองฝายแม่น้ำลำคลองห้วยหนอง ทุกเส้นทุกสาย แลตนมีอำนาจรักษาวัดวาอารมบ้านชองของที่ ใหที่บ้าน…..(ชื่อหมู่บ้านและสถานที่ของผู้มาให้ทำพิธี) ทั้งหมู่ทั้งมวล จุ่งมาช่วยกันทำหื้อเขาเปนไปตั่งอั้นเทอะ”
จากนั้นจึงเริ่มทำพิธีผ่าจ้านได้ โดยผู้ประกอบพิธีอาจเลือกวิธีการที่เห็นว่าเหมาะแก่เหตุและได้ผลดี โดยอาจเลือกเวลาที่เห็นว่าเหมาะสม ซึ่งไม่จำเป็นต้องกระทำทันทีหลังจากการขึ้นขันตั้งก็ได้
๒. การตัดกระดาษ
๓. การผ่าผลไม้
๔. การเขียนปู
ในแง่ของอาจารย์ประกอบพิธีนั้นมักจะเป็นชายสูงอายุที่ได้บวชเรียนแล้ว มีความรู้ทางวิชาเวทมนตร์ สามารถจดจำ คาถาอาคมได้ มีจิตใจเข้มแข็ง และจะต้องประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมจรรยา ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ ไปวัดทำบุญรักษาศีลอู่เสมอ และไม่เปิดเผยชัดเจนว่าเป็นผุ้ประกอบพิธีเช่นว่านี้
ปกติแล้วอาจารย์จะไม่ประกอบพิธีนี้ให้แก่ผู้ใดง่ายๆ เมื่อมีผู้เดือดร้อนอย่างเช่น ภรรยาซึ่งผัวมีเมียน้อยไปปรึกษาอาจารย์ก็จะพิจารณาดูจากชื่อ นามสกุลทั้งสองฝ่าย และอาจดูจากทะเบียนสมรสด้วยก็ได้ จากนั้นก็จะให้คำแนะนำเพื่อการปฏิบัติที่เป็นไปได้เสียก่อน ต่อเมื่อเห็นว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงการผ่าจ้านแล้ว จึงจะรับทำให้ โดยมีข้อห้ามไว้ด้วย ดังนี้
๑. ไม่ผ่าจ้านสามีภรรยาที่มีบุตรด้วยกันหรือถูกต้องตามกฏหมาย
๒. ไม่ผ่าจ้านให้พ่อแม่แยกจากลูก
๓. ไม่ผ่าจ้านให้อาจารย์และศิษย์แยกจากกัน
๔. ไม่ผ่าจ้านให้พี่น้องแยกจากกัน
เมื่อตกลงว่าจะผ่าจ้านแน่แล้ว ผู้ประกอบพิธีจะให้ผู้มาทำพิธีตัดบาปเสียก่อน โดยประกอบพิธีต่อหน้าพระพุทธรูป ทั้งนี้อาจารย์ผู้ประกอบพิธีกล่าวนำให้ผู้มาให้ทำพิธีกล่าวตาม มีเนื้อหาว่าผู้มาให้ทำพิธีรับรู้ว่าการกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดบาป และผู้มาให้ทำพิธีจะขอรับบาปที่เกิดขึ้นแต่ผู้เดียว จากนั้นก็จะนัดหมายให้นำเอาสิ่งของหรือชื่อสกุลวันเดือนปีเกิดของผู้ที่จะได้รับผลของพิธีมาให้ ผู้มาให้ทำพิธีจะต้อง ขึ้นขันตั้ง คือจัดเครื่องพิธีเพื่อมอบภาระให้ผู้ประกอบพิธีดำเนินการตามประสงค์ โดยที่การขึ้นขันตั้งจะมีรายการสิ่งของที่ต้องการดังนี้
๑. เงินค่าครู ๒๕ บาท (๑๐๐ สลึง)
๒. สวยดอก หรือกรวยดอกไม้ ๔ อัน (๒ คู่)
๓. สวยพลู (อ่านว่า “สวยปู”) คือกรวยใส่ใบพลู ๔ อัน (๒ คู่)
๕. เทียนขี้ผึ่งแท่งบาท แท่งเฟื้อง แท่งขนาดเล็ก อย่างละ ๔ คู่
๖. กระทงข้าวเปลือกและข้าวสารอย่างละ ๑ กระทง
๗. ผ้าขาวผ้าแดงอย่างละพับ (๑ เมตร ๑ ศอก หรือ ๑ คืบ)
อาจารย์ผู้ประกอบพิธี นำเครื่องกำนัลค่าครูดังกล่าวใส่พานไปวางบนหิ้งบูชาครูแล้วกล่าวคำโองการในการทำพิธีผ่าจ้าน ดังนี้
“สิทธิกิจจัง สิทธิกัมมัง สิทธิลาภัง สิทธิกากโต สิทธิอิติปิโสภควา ตะลาลา พรหมา เทวตา จ พิษณุกันเต วา สิทธิ เม”
“ข้าพเจ้าจักทำพิธีผ่าจ้านหื้อ….(ชื่อผู้ที่ต้องกรให้ได้รับผลคนหนึ่ง) กับ….(ชื่อของผู้ที่ต้องการให้รับผลอีกคนหนึ่ง) ได้ละจากกัน ได้ละทิ้งกันนานแสนนาน พระพุทธเจ้า พระธัมมเจ้า พระสังฆเจ้า เทวบุตรเทวดาตนรักษาบ้านเมืองเหมืองฝายแม่น้ำลำคลองห้วยหนอง ทุกเส้นทุกสาย แลตนมีอำนาจรักษาวัดวาอารมบ้านชองของที่ ใหที่บ้าน…..(ชื่อหมู่บ้านและสถานที่ของผู้มาให้ทำพิธี) ทั้งหมู่ทั้งมวล จุ่งมาช่วยกันทำหื้อเขาเปนไปตั่งอั้นเทอะ”
จากนั้นจึงเริ่มทำพิธีผ่าจ้านได้ โดยผู้ประกอบพิธีอาจเลือกวิธีการที่เห็นว่าเหมาะแก่เหตุและได้ผลดี โดยอาจเลือกเวลาที่เห็นว่าเหมาะสม ซึ่งไม่จำเป็นต้องกระทำทันทีหลังจากการขึ้นขันตั้งก็ได้
วิธีการทำผ่าจ้าน
๑. วิธีทำเทียน อาจารย์ผู้ประกอบพิธีจะเขียนยันต์ลงบนกระดาษสาเพื่อทำเป็นไส้เทียน
โดยยันต์ดังกล่าวจะมีโครงสร้างเป็นรูปชายหญิงหันหัวไปข้างบนข้างล่าง
เขียนชื่อของผู้จะให้รับผลลงกำกับไว้ แล้วพับยันต์กระดาษในลักษณะแยกออกจากกัน
(เอาด้านหลังยันต์กระดาษทบเข้าหากันพับกึ่งกลางของภาพแล้วตัดตามรอยพับนั้น
แล้วเอาเศษสื้อผ้าซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนของทั้งสองมาทำเป็นไส้เทียน
โดยเอาผ้าของหญิงไปรวมกับยันต์ที่มีชื่อผู้หญิง ผ้าของชายไปรววมกัยันต์รูปผู้ชาย
เมื่อฟั่นใส้เทียนก็จะได้เทียนสองแท่ง
ผู้ประกอบพิธีจะเอาเทียนไปจุดคนละฝั่งน้ำในบริเวณที่ลำน้ำแยกออกเป็นสองแคว
โดยจะจุดแท่งใดก่อนก็ได้ แล้วจึงข้ามน้ำไปจุดอีกแท่งหนึ่งที่ฝั่งตรงข้าม
ขณะจุดเทียนก็กล่าวคาถาเป็นเคล็ดว่า “นิดี หมูสี
หีหมูอยู่ทางหาง คางหมูอยู่น้าผาก กูจักผ่าจ้านหื้อสูได้จากกัน
เหมือนแม่น้ำสองแควแห่งนี้ โอม สูหะ จาก”
ยันต์เทียนที่ใช้เขียนลงบนกระดาษ
๒. วิธีตัดกระดาษ วิธีนี้อาจารย์ผู้ประกอบพิธีจะนำกระดาษแผ่นหนึ่งขนาดไม่ใหญ่นักมาเขียนชื่อนามสกุล วันเดือนปีเกิดของผู้ต้องการให้ได้รับผลไว้ส่วนบนละส่วนล่างของกระดาษ
แล้วพับกระดาษตามขวางให้ชื่อของทั้งสองแยกไปอยู่คนละส่วนและตัดกระดาษตามรอย
โดยจะต้องจับด้านที่มีชื่อของผู้มาทำพิธีไว้
เช่นหากภรรยามาขอให้กระทำเพื่อให้สามีเหินห่างจากเมียน้อย อาจารย์ก็จะจับด้านที่มีชื่อสามีไว้ปละปล่อยให้ส่วนที่มีชื่อของเมียน้อยตกไป
ชื่อของสามีนั้นก็ให้ภรรยาผู้มาขอให้ทำพิธีนำไปไว้ได้หมอน
ส่วนที่เป็นชื่อของเมียน้อยก็ให้ขยำแล้วเผาทิ้ง ขณะขยำกระดาษละเผากระดาษนั้น
จะต้องว่าคาถากำกับไปด้วย
๐ โอม สวะ โอมสาง การพิส การแย ทุงแส่นิลาส่า
ผมอยู่หัวลืมเกล้า เข้า(ข้าว)อยู่กองลืมกิน ฯ (๓ จบ)
๓. วิธีผ่าผลไม้ วิธีนี้อาจารย์ผู้ประกอบพิธีอาจใช้ผลไม้อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
เช่น ผลส้ม ผลมะนาว มาเขียนชื่อ-สกุล ของผู้ที่ต้องการให้แยกจากกันไว้คนละด้าน
จากนั้นจึงใช้มีดผ่ากึ่งกลางผลไม้โดยผ่าทีเดียวให้ขาด
แล้วนำผลไม้แต่ละซีกไปทิศคนละที่คนละทิศตรงข้ามกัน ขณะผ่าผลไม้และเอาผลไม้ไปทิ้งจะต้องว่าคาถากำกับด้วย
๔. วิธีการเขียนปู วิธีนี้ให้นำปูนามาสองตัว
เขียนชื่อสกุลของผู้ที่ต้องการให้แยกจากกันใส่กระดาษคนละแผ่นติดหลังปูตัวละแผ่น
นำด้ายสายสิญจน์ผูกปูทั้งสองเข้าด้วยกันแล้วจึงทำพิธีตัดด้วยมีดหรือกรรไกรโดยตัดทีเดียวให้ขาด
ขณะตัดก็ต้องว่าคาถากำกับด้วย แล้วจึงนำปูไปปล่อยคนละสถานที่และตรงข้ามกัน
ขณะทำการผ่าจ้านนั้น
อาจารย์ผู้ประกอบพิธีจะยามที่เหมาะสมแก่การ โดยเลือกทำในวันที่เป็นศัตรู คือ
วันอาทิตย์ เป็นศัตรูกับ วันอังคาร
วันจันทร์ เป็นศัตรูกับ วันพฤหัสบดี
วันศุกร์ เป็นศัตรูกับ วันเสาร์
วันพุธ เป็นศัตรูกับ วันราหู (วันพุธตอนกลางคืน)
การจุดเทียนนั้น นิยมจุดในตอนกลางคืนเมื่อคนหลับแล้วโดยถือว่าเมื่อคนหลับสนิทนั้น เทวดาประจำตัวแต่ละคนจะหยุดการคุ้มครองและขวัญก็จะออกจากร่างกาย จึงเป็นการสะดวกที่จะใช้มนตราอาคมให้มีผลต่อบุคคลในช่วงเวลาดังกล่าว เช่น ในกรณีที่เมียหลวงซึ่งเกิดในวันจันทร์มาขอให้ผ่าจ้านเพื่อให้สามีแยกจากเมียน้อยนั้น ผู้ประกอบพิธีพึงทำเทียนในวันที่เป็นศัตรูกับวันจันทร์ คือวันพฤหัสบดี และจุดในวันที่เป็นศัตรูนั้นด้วย หากวันที่จะจุดเทียนนั้นไม่ถูกโฉลกยามก็จะเลื่อนไปจุดในวันพฤหัสบดีในสัปดาห์ถัดไป
วันอาทิตย์ เป็นศัตรูกับ วันอังคาร
วันจันทร์ เป็นศัตรูกับ วันพฤหัสบดี
วันศุกร์ เป็นศัตรูกับ วันเสาร์
วันพุธ เป็นศัตรูกับ วันราหู (วันพุธตอนกลางคืน)
การจุดเทียนนั้น นิยมจุดในตอนกลางคืนเมื่อคนหลับแล้วโดยถือว่าเมื่อคนหลับสนิทนั้น เทวดาประจำตัวแต่ละคนจะหยุดการคุ้มครองและขวัญก็จะออกจากร่างกาย จึงเป็นการสะดวกที่จะใช้มนตราอาคมให้มีผลต่อบุคคลในช่วงเวลาดังกล่าว เช่น ในกรณีที่เมียหลวงซึ่งเกิดในวันจันทร์มาขอให้ผ่าจ้านเพื่อให้สามีแยกจากเมียน้อยนั้น ผู้ประกอบพิธีพึงทำเทียนในวันที่เป็นศัตรูกับวันจันทร์ คือวันพฤหัสบดี และจุดในวันที่เป็นศัตรูนั้นด้วย หากวันที่จะจุดเทียนนั้นไม่ถูกโฉลกยามก็จะเลื่อนไปจุดในวันพฤหัสบดีในสัปดาห์ถัดไป
คาถาผ่าจ้าน
สำนวนที่ ๑
๐ โอม สวะ โอมสาง การพิส การแย ทุงแส่นิลาส่า ฯ (๓ จบ)
๐ โอม สวะ โอมสาง การพิส การแย ทุงแส่นิลาส่า ฯ (๓ จบ)
สรรพคุณ ใช้สำหรับผ่าจ้าน
ซึ่งหมายถึงทำให้คนเลิกร้างกันหรือเป็นคาถาแก้มนต์ดำที่ถูกฝ่ายหนึ่งทำให้หลงรัก
เมื่อใช้คาถาบทนี้แล้วก็จะทำให้มนต์นั้นเสื่อมลง ทำจิตใจกลับคืนสู่ภาวะปกติได้
วิธีใช้ ใช้เสกเป่าใส่น้ำในหม้อ หรือใส่ในหมากเมี่ยงบุหรี่ก็ได้ เพื่อให้คนที่ต้องการให้เลิกกันหรือผู้ที่ถูกมนต์นั้นกิน และตรงกันข้ามถ้าหากเราต้องการ “ใส่” ให้เขาบ้าง คือให้เขาหลงรักเรา หรือทำร้ายเขาให้หลงลืมสติถึงขั้นเป็นบ้าก็ได้ ก็ให้เพิ่มบทคาถาของคาถาต่อจากเดิม
วิธีใช้ ใช้เสกเป่าใส่น้ำในหม้อ หรือใส่ในหมากเมี่ยงบุหรี่ก็ได้ เพื่อให้คนที่ต้องการให้เลิกกันหรือผู้ที่ถูกมนต์นั้นกิน และตรงกันข้ามถ้าหากเราต้องการ “ใส่” ให้เขาบ้าง คือให้เขาหลงรักเรา หรือทำร้ายเขาให้หลงลืมสติถึงขั้นเป็นบ้าก็ได้ ก็ให้เพิ่มบทคาถาของคาถาต่อจากเดิม
๐ โอม สวะ โอมสาง การพิส การแย ทุงแส่นิลาส่า
ผมอยู่หัวลืมเกล้า เข้า(ข้าว)อยู่กองลืมกิน ฯ (๓ จบ)
คาถาผ่าจ้าน
สำนวนที่ ๒
๐ โอมสีสี มหาสีสี
สีหีหมุเปนขนหย่อมหย้ออยู่หน้าผาก
หื้อมึงพลัดพรากจากกัน เหมือนน้ำพรากฝาย
เหมือนผีตายออกจากบ้าน โอมปติปตา โอมผ่าจ้าน โอมสวาหะจาก ฯ
หื้อมึงพลัดพรากจากกัน เหมือนน้ำพรากฝาย
เหมือนผีตายออกจากบ้าน โอมปติปตา โอมผ่าจ้าน โอมสวาหะจาก ฯ
เอาดิน ๗
ป่าช้า มาปั้นเป็นรูปคน หันหน้าออกจากกัน เอาด้ายมัดเอาไปฝังไว้ป่าช้า
ไม่เกินเดือนก็จะทำให้คนคู่นั้นชังกันและจากกันไป
บางท่านกล่าวว่าให้เอาขี้เถ้าที่เผาศพที่ตายในวันเสาร์ เผาวันอังคารมาปั้นเป็นรูปคนแล้วเสกด้วยคาถานี้แล้วฝังที่ทางแยก
จะทำให้ผัวเมียเลิกร้างกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น