ผีฟ้า

ผีฟ้า

                      ผีฟ้าเอย   แสนสุดโสภา
                      ผีฟ้าเอย   ได้โปรดเมตตา
                      หมู่เฮาป่วยไข้   บอกใบ้หยูกยา
                      หมู่เฮาบูชา ฮักผีฟ้าเอย

                              ผีฟ้าเอย  ให้ฝนให้ฟ้า
                              ผีฟ้าเอย  ให้ผักให้ปลา
                              ให้ป่าให้ไม้  ให้ข้าวในนา
                              หมู่เฮาถ้วนหน้า อยู่เป็นสุขเอย

                                       ผีฟ้าเอย  หมู่เฮาเต้นรำ
                                       ผีฟ้าเอย  หมู่เฮาตำข้าว
                                       ดอกไม้ธูปเทียน ปักไว้หัวเสา
                                       ขอเชิญผีเจ้าม่วนหมู่เฮาเอย

                                                    ผีฟ้าเอย  สุราอาหาร
                                                    ผีฟ้าเอย  ของเปรี้ยวของหวาน
                                                    ผ้าผ่อนเงินทองเท่ากองใส่พาน
                                                    เพื่อบรรณาการแก่ผีฟ้าเอย

                     เพลงนี้ครูมนัส ปิติสานต์ ได้เรียบเรียงเนื้องหาเพลงและทำนองจากเพลงผีฟ้าเดิม ผีฟ้า คำว่าผีที่อยู่หน้าคำว่าฟ้า มิได้หมายถึงผีแต่อย่างใด ความหมายจริงๆของผีฟ้า คือ เทวดา ของชาวพื้นบ้านภาคอีสาน และภาคเหนือก็มีผีฟ้าเหมือนกัน โดยทุกคนเคยได้ยินและได้รู้จักว่าผีฟ้ามักเป็นผู้หญิง เป็นร่างทรงให้กับผีฟ้า เชิญมาด้วยของบวงสรวง และมีการฟ้อนรำ บางครั้งผีฟ้าก็มีการร้องเพลงด้วย และจะต่างๆกันไปตามท้องที่ ผีฟ้าเป็นผีที่ชาวบ้านเคารพบูชากันมาก เพราะเมื่อเจ็บเป็นป่วยไข้ หรือมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ ผีฟ้าก็เป็นที่พึ่งได้ เพียงการรำฟ้อนด้วยท้วงท่าต่างๆ ตามเสียงบรรเลงดนตรี มีแคนป็นเครื่องนำ แล้วก็สามารถรักษาอาการเจ็บป่วยได้ สามารถไล่ผีได้ หรือบางครั้งก็บอกยารักษา เป็นต้น
                    อีกอย่างหนึ่ง ผีฟ้าไม่ได้มีร่างทรงแค่เพียงผู้หญิงเท่านั้น แต่ยังมีร่างทรงเป็นผู้ชายได้ด้วย แต่ผีฟ้าจะฟ้อนรำซึ่งลักษณะการฟ้อนรำจะมีความคล้ายคลึงกัน แต่ไม่เหมือนกัน ชุดก็ไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้คือผ้าพาดบ่า คล้ายสใบ จะใส่ได้ทั้งชายและหญิง สำหรับผู้ชายจะไม่มีการแต่งตัวอะไรมาก แต่ผู้หญิงนั้นต้องแต่งตัวเป็นชั่วโมงๆ ทั้งก้าวผมสารพัด
                    ส่วนผีฟ้าอีกประเภทหนึ่งนั้น จะเป็นอันตรายต่อมนุษย์ เพราะเมื่อเป็นผีฟ้าแล้วต้องทำตามข้อปฏิบัติของการเป็นผีฟ้า มิเช่นนั้นจะเป็นภัย กลายเป็นผีร้าย การละเมิดกฎ เช่นไปกินของเซ่นผี ทำให้พรหมจรรย์ขาด ไปทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนาไม่ดี(ไม่ใช่การป้องกันตัว) และที่สำคัญคือไม่ช่วยคน ทำผิดข้อปฏิบัติต่างๆ จนบางครั้งก็กลายเป็นปีศาจ ผีปอบ ผีร้ายได้
                    ผู้ที่เป็นผีฟ้าแล้ว ก็ต้องรักษาสัจจะวาจาที่ตนได้ให้ไว้ทุกอย่าง สิ่งที่ผีฟ้าคนก่อนจะกำชับหนักหนาว่า สำหรับผู้หญิงห้ามมีผัว สำหรับผู้ชายก็ห้ามมีเมีย (ถ้ามีมาก่อน แล้วมันตายจากไป แล้วมาเป็นผีฟ้าก็สามารถทำได้ แต่คงจะไม่ขลังเท่ากับพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์) ซึ่งผมก็เคยนะคับ คิดจะเป็นร่างทรงให้ผีฟ้า แต่ตอนนั้นรู้ว่าตัวเองเป็นไม่ได้ เพราะว่าผมก็เห็นคนทั่วไปที่รู้จักผีฟ้าในร่างทรงผู้หญิง พอผมรู้ว่าผู้ชายก็เป็นได้ ความคิดมันกลับกลายเป็นอีกแบบหนึ่งว่า จะเอาความอิสระในร่างกายนี้ให้คนอื่นเข้ามาแทรกแซงมันจะดีหรือ ผมก็เลยตัดสินใจว่าไม่เป็นดีกว่า (ทั้งๆที่ตัวเองปฏิบัติได้แล้วแท้ๆ ไม่ว่าจะเป็นท่ารำ คำไหว้ครู คำเชิญผีฟ้า และรักษาพรหมจรรย์ไม้ให้ขาด) จนตัวเองต้องโสดสนิทไปตลอดชีวิตแบบนี้
                  เครื่องสังเวยต่อผีฟ้าก็จะมีอาหาร บายศรี แคนและคนเป่าแคน วงดนตรีมีก็ได้ไม่มีก็ได้ ขันครู ขันดอก เสื้อผ้า เงินทอง และธูป กับ เสาไม้ใผ่ ส่วนอุปกรณ์ของผีฟ้านั้น อย่างแรกที่ขาดไม้ได้คือหิ้งผีฟ้า หิ้งมักจะอยู่ติดกับเสาบ้านเสาเรือน สูงระดับหัหรือมากกว่านั้น ก็จะมีขันต่างๆ มีหน้า(ธนู) มีม้าไม้(คล้ายก้านกล้วย) หากพิเศษกว่านั้นก็(มักมีเฉพาะตระกูลผีฟ้า)กลองกลิ้ง หรือที่รู้จักกันในนามกลองพญาแทนอันนี้คงวางไว้บนหิ้งไม่ได้แน่ ชุดที่คนจะทำพิธีก็ชุดพื้นบ้านมีผ้าผาดบ่า พวงมาลัยดอกรักแซมด้วยดอกพิกุลคล้องสพายแหล้ง หรือตามแนวผ้าพาด
                  การประกอบพิธีมักนิยมประกอบพิธีกลางแจ้งตอนพระอาทิตย์มีแสงไม่ตกดิน ไม่มีเมฆบังจะดีที่สุด แต่ถ้าหากกระทันหันก็ต้องทำพิธีเวลาไหนก็ได้กลางวัน กลางคืน ในบ้าน นอกบ้าน กลางตลาดก็ยังตั้งพิธีได้ โดยจะมีเสาไม้ใผ่ไว้ปักธูปบูชาครูบาอาจารย์ และผีฟ้า จากนั้ก็ตั้งสมาธิสวดคำต่างๆ แล้วสิ่งที่แปลกจะเกิดขึ้นมาเป็นอย่างแรกคือเสียงดนตรีที่ไม่ได้นัดหมายจะดังขึ้นพร้อมกับผีฟ้าฟ้อนรำกันพอดีเปะ(สำหรับผู้ที่เปนผีฟ้าอย่างชำนาญการแล้ว) จากนั้นก็รำไปเรื่อยจนบรรลุจุดประสงค์ คือช่วยคนได้
                   ในความเชื่อของชาวภูไทย เชื่อว่าท้าวมเหสะคือผู้ปกครองผีทั้งหมด และเป็นหัวหน้าผีฟ้าด้วย ส่วนร่างทรงของผีฟ้าเขาจะเรียกว่า แม่เมือง มีธนูและม้าไม้ เครื่องคลาย เครื่องเล่น และทุกปีต้องมีการเลี้ยงข่วง หรือเลี้ยงผีฟ้าประจำปี ปรัมพีธีต้องสร้างเสร็จในวันพิธีห้ามสร้างค้างคืนเด็ดขาด และต้องหันหน้าเข้าหาบ้านแม่เมือง หลังจากนั้นจะมีการประกอบพิธีต่างๆ
                   ผีฟ้านับถือศาสนาอะไร ผีฟ้าถือเป็นศรัทธาความเชื่อทางพราหมณ์ แต่ผู้รู้กล่าวว่าอยู่ในสังกัดพระพุทธศาสนา ผีฟ้ายังมีชื่อเรียกที่ดูน่าเลื่อมใสกว่ามากอีกชื่อหนึ่งคือ แถน หรือ พญาแถน พญาแถนจะเป็นเทวดาที่ดูแลเรื่องน้ำ เรื่องฝน สามารถทำให้ฝนตกโดยไม่ต้องอาศัยพญานาคมาให้น้ำได้ สามารถหยุดฝนไม่ให้ตกได้
                  สำหรับธรรมชาดกของชาวล้านนาเหนือ กับชาวอีสานก็มีการกล่าวถึงอยู่หลายเรื่องโดยที่เด่นชัดที่สุดคือ พญาคางคก พระโพธิสัตว์ได้เสวยชาติเป็นคางคกที่มีฤทธิ์มีเดช สนั่นฟ้าไปถึงพญาแถน ดังได้สดับมามีเรื่องว่าเช่นนี้
                   พระยาหลวงเอกราชและนางสีดา ปกครองเมืองอินทปัตถ์มานาน ประชาชนมีความสุขสมบูรณ์กันถ้วนหน้า พระโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดในครรภ์นางสีดาในร่างของ คางคาก (คางคก) ในคืนหนึ่งนางสีดาฝันว่าดวงอาทิตย์ได้ตกลงมาจากฟากฟ้าแล้วลอยเข้ามาในปากของนาง เมื่อนางกลืนลงท้อง เนื้อตัวของนางได้กลายเป็นสีเหลืองสดใสประดุจดังทองคำ ในความฝันยังแสดงให้เห็นว่า นางมีอิทธิฤทธิ์สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ นางได้เหาะไปยังเขาพระสุเมรุแล้วจึงเดินทางกลับมายังปราสาทราชวังในเมืองอินทปัตถ์ดังเดิม ครั้นสะดุ้งตื่นนางได้เล่าความฝันถวายแก่พระยาหลวงเอกราชพระสวามี พระยาหลวงล่วงรู้ในนิมิตความฝันว่าพระองค์จะมีโอรสที่จะสืบราชสมบัติต่อไป
                   เมื่อครบสิบสองเดือนนางสีดาได้ให้กำเนิดกุมารเป็นตัวคางคาก (คางคก) มีรูปร่างเหลืองอร่ามดั่งทองคำ พระยาหลวงเอกราชดีใจมากได้สั่งให้จัดหาอู่ทองคำมาให้นอน และจัดหาแม่นมมาดูแลอย่างใกล้ชิด ต่อมาท้าวคางคากเจริญวัยเป็นหนุ่ม อายุได้ 20 ปี คิดอยากจะมีคู่ครอง พระบิดาได้พยายามหาผู้ที่เหมาะสมมาให้แต่ก็หาไม่ได้ ด้วยมีเหตุขัดข้องที่ท้าวคางคากมีรูปกายที่อัปลักษณ์ผิดแผกไปจากมนุษย์คนอื่นๆ พระยาหลวงเอกราชรู้สึกสงสารโอรสเป็นอันมากจึงปลอบใจว่าขอให้สร้างสมบุญบารมีต่อไปอีก จนกว่าจะกลายร่างเป็นมนุษย์เมื่อใด จะยกทรัพย์สมบัติให้ปกครองบ้านเมืองสืบต่อไป ท้าวคางคากจึงตั้งจิตอธิษฐานว่า หากตนมีบุญบารมีขอให้ได้หญิงงามมาเป็นคู่ครอง ดังนั้น พระอินทร์จึงได้ลงมาเนรมิตปราสาทแก้วไว้กลางเมือง ปราสาทนี้มีขนาดใหญ่โตมาก มีเสาเป็นหมื่นๆ ต้น มีห้องใหญ่น้อยจำนวนหนึ่งพันห้อง พร้อมทั้งเครื่องประดับตกแต่ง ปราสาทหลังนี้เต็มไปด้วยอัญมณีที่มีค่ายิ่ง นอกจากนี้พระอินทร์ได้ให้นางแก้วมาเป็นชายาท้าวคางคากและได้เนรมิตกายท้าวคางคากให้มีรูปกายงดงามอีกด้วย เสร็จแล้วพระอินทร์จึงเสด็จกลับสู่สวรรค์อันเป็นที่ประทับของพระองค์
                  ท้าวคางคากและนางแก้วอาศัยอยู่ในปราสาทที่พระอินทร์เนรมิตงามดังไพชยนต์ปราสาทแห่งนี้ ต่อมาเมื่อพระยาหลวงเอกราชและนางสีดาทราบข่าว ได้เสด็จมาเยี่ยมยังปราสาท พร้อมทั้งได้จัดทำพิธีอภิเษกให้ท้าวคางคากเป็นเจ้าเมืองปกครองไพร่ฟ้าประชาราษฎร์สืบไป นับแต่พญาคางคากขึ้นครองเมือง บรรดาพญาทั้งหลายตลอดจนบรรดาสัตว์เดรัจฉานได้เข้ามาขอเป็นบริวารอีกมากมาย
                 พระยาแถน ทราบว่าพญาคางคากได้ขึ้นครองเมืองจึงคิดอิจฉาและไม่พอใจ จึงคิดหาทางกลั่นแกล้ง แต่ก็รู้ดีว่าพญาคางคากมีบุญญาธิการและมีอิทธิฤทธิ์มากเกรงจะเป็นภัยแก่ตน จึงได้วางแผนการโดยที่ไม่ให้ฝนตกลงมายังมนุษยโลก ทำให้สิ่งมีชีวิตเดือนดร้อนกันไปทั่วพิภพนานถึง 7 ปี พญาคางคากไม่ทราบว่าจะหาทางแก้ปัญหานั้นได้อย่างไรจึงลงไปยังใต้พิภพเพื่อปรึกษากับพญานาค พญาหลวงนาโคบอกกับพญาคางคากว่า พระยาแถนประทับอยู่ยังปราสาทเมืองยุคันธร ที่เมืองนี้มีแม่น้ำคงคาอันกว้างใหญ่ไพศาล พระยาแถนมีหน้าที่ดูแลรักษาแม่น้ำยุคันธรแห่งนี้ นอกจากนี้ยังมีเขาสัตบริภัณฑ์ตั้งอยู่รายล้อมเขาพระสุเมรุถึง 7 ลูก เมื่อครบกำหนดเวลาบรรดานาคจะลงมาเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ฝนฟ้าก็จะตกต้องตามฤดูกาล แต่บัดนี้พระยาแถนไม่ยอมให้นาคลงไปเล่นน้ำดังแต่ก่อน จึงทำให้เมืองมนุษย์แห้งแล้ง ผู้คน สัตว์ และพืช ล้มตายเป็นอันมากพญาคางคากได้ฟังดังนั้นจึงคิดหาทางไปเมืองแถน ได้ไปตามพวกครุฑ นาค ปลวก มาก่อภูเขาเพื่อทำทางขึ้นไปรบกับพระยาแถน โดยต่างฝ่ายต่างก็มีคาถาอาคม พญาคางคากได้ร่ายเวทมนตร์ให้บังเกิดมีกบเขียดอย่างมากมายทำให้ชาวเมืองแถนตกใจกลัวเป็นอย่างยิ่ง พระยาแถนเองก็ใช้คาถาอาคมเป่าให้เกิดมีงูร้ายมากมายหลายชนิด เพื่อมาจับกบและเขียดกิน พญาคางคากได้ให้ครุฑและกามาจิกกินงูที่เกิดจากอาคมพระยาแถน จนกระทั่งงูเหล่านั้นต้องล้มตาย พระยาแถนจึงให้สุนัขมาวิ่งไล่จับครุฑและกากินเป็นอาหาร พญาคางคากได้ให้เสือโคร่งออกมาจับสุนัขกิน พระยาแถนได้ยิงธนูให้กลายเป็นห่าฝนหอกดาบตกลงมาเสียบคนล้มตายเป็นจำนวนมาก พญาคางคากได้เนรมิตปีกให้แผ่กว้างเพื่อกำบังห่าฝนหอกดาบ และมีการร่ายเวทมนตร์คาถาอาคมให้ผู้คนที่ล้มตายกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งการสู้รบกันระหว่างพญาคางคากกับพระยาแถนเป็นไปอย่างดุเดือด ต่างคนต่างก็มีคาถาอาคมเพื่อต่อสู้กับศัตรูอย่างฉกาจฉกรรจ์ ปรากฏว่าไม่มีใครแพ้ใครชนะ จึงได้มาชนช้างกัน ในที่สุดพระยาแถนแพ้พญาคางคาก พญาคางคากจึงมีบัญชาให้พระยาแถนยอมให้นาคมาเล่นน้ำ ฝนจะได้ตกบนพื้นพิภพดังเดิม ครั้งนี้นับเป็นการสู้รบที่เรียกว่ามหายุทธเลยทีเดียว ต่อมาสัตว์ต่างๆ เหล่านี้จึงเป็นศัตรูกันนับตั้งแต่นั้นมา

ตำนานพญาคางคากนี้ได้ปริวรรตจากตัวอักษรไทยน้อย จำนวน 5 ผูก
ซึ่งเนื่อเรื่องยาวกว่านี้ ผมได้เอาฉบับที่ย่อที่สุดมาลงไว้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น