ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ : รากษส

ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ : รากษส
       รากษส คือ ยักษ์ชนิดหนึ่ง ยักษ์ประเภทนี้หากไปเกิด ณ ที่ใด จะกลายเป็นยักษ์เฝ้าสถานที่นั้น ผู้รู้บางท่านกล่าวว่ารากษสคืออสูร ประเภทหนึ่งมีหน้าที่เฝ้าสถานที่ ผู้รู้อีกหลายท่าก็บอกว่า รากษสเป็นผีเสื้อน้ำ และพจนานุกรมกล่าวว่า รากษส [ราก-สด] (สก. รากฺษส; มค. รกฺขส) น. ยักษ์, ผีเสื้อน้ำ, เป็นชื่อพวกอสูรเลว มีนิสัยดุร้าย ชอบเที่ยวตามป่า ทำลายพิธีและกินคน, ใช้ รากโษส ก็มี.
      
จากคำนิยามทำให้ผมงงเลยคับ ดังนั้นผมจึงพยายามสืบเสาะหาว่า รากษส คือตัวอะไรกันแน่ สำหรับที่ผมหามาได้ รากษส คือ ยักษ์ที่รักษาน้ำ และอสูรที่รักษาสมบัติ ส่วนผีเสื้อน้ำ อสูรเลวนั้นก็อาจเรียกได้ว่าเป็นรากษส เพราะมีลักษณะไม่ต่างกันเลย และผีบางชนิดที่กลายเป็นอสูรเฝ้าทรัพย์สมบัติ ก็เป็นรากษสประเภทหนึ่ง สำหรับคนไทยคงรู้จักคำว่า ปู่โสมเฝ้าทรัพย์
      
ส่วนรากษสที่เป็นยักษ์ก็มี ตัวอย่างเช่น ท้าวสหัสเดชะเป็นพญารากษส ผมจะอธิบายเพียงปู่โสมเฝ้าทรัพย์นะคับ และจะเขียนธรรมชาดกที่มีรากษสอยู่ด้วย
      
คำว่าปู่โสมนี้ ได้ยินมาบ่อยๆ ที่เรียกว่าปู่นี้คงเพราะมักมาเป็นรูปอย่างคนเฒ่าคนแก่ คงเป็นชายเสียส่วนมากจึงได้เรียกว่าปู่ ไม่เคยได้ยินว่ามีย่าโสมที่ไหน ส่วนคำว่าโสมนั้นที่ผู้รู้กล่าวว่าเป็นคำโบราณมาจากคำอะไรสักคำ แปลว่าอะไรไม่สักอย่างหนึ่งซึ่งที่ผมจำไม่ได้ โดยรวมปู่โสมก็เป็นผีชนิดหนึ่ง เชื่อว่ามีหน้าที่คอยเฝ้าสมบัติต่างๆที่คนโบราณแอบเอาไว้ตามถ้ำหรือกรุ สมบัติ ที่จริงเรื่องปู่โสมนี้เป็นเรื่องที่ดูยังคาบเกี่ยวกับวิชามารยาศาตร์(ฝังอาถรรพ์)อยู่มากในทีนี้เป็นการกล่าวถึงแต่คติเรื่องผีจึงขอคัดเอาแต่คติที่ดูจะเกี่ยวกับผีๆสางๆสักหน่อยนะคับ
      
การอุบัติของปู่โสมนี้ ตำนานเล่าว่า กรุงศรีอยุธยาอดีตราชธานีอันยิ่งใหญ่ของไทย ครั้งที่บ้านเมืองยังสงบอาณาประชาราษฎร์ล้วนมีชีวิตที่สุขสบาย ขุนนาง ขุนศึก พ่อค้าและชาวบ้านทั้งหลายยิ้มย่องผ่องใสมีชีวิตรุ่งเรืองถึงขีดสุด จึงต่างเก็บหอมรอมริบ สะสมแก้วแหวนเงินทองมีค่าไว้มากมาย
          จนกระทั่งเกิดสงครามถึงคราวพ่ายแพ้แก่พม่า กรุงศรีอยุธยาต้องล่มสลาย ผู้คนและเหล่าทหาร ช้าง ม้า วัว ถูกฆ่าตายกลาดเกลื่อน สมบัติมากมายที่สะสมกันไว้จึงถูกซุกซ่อนฝังไว้ตามจุดต่างๆ
             ขุนนาง คหบดีและเจ้านายบางพระองค์ นอกจากจะฝังสมบัติไว้แล้ว ยังถึงกับฆ่าบริวารหรือทหารของตนให้ตายโหงอยู่ตรงที่ฝังสมบัติ เพราะหวังจะให้วิญญาณของผู้ตายกลายเป็นผี "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" เฝ้าสมบัติของตนก็มี            และการทำปู่โสมเฝ้าทรัพย์นี้อาจแยกเป็นสองอย่างหลักคือ เกิดจากอำนาจทางมารยศาสตร์ ผูกขึ้นมาให้เป็นตัวตน คงคล้ายๆกับการผูกหุ่น กับอีกอย่างหนึ่งคือเกิดจากคนตายคือผีตามความเข้าใจของคนทั่วไป ซึ่งอย่างหลังนี้ดูจะเกี่ยวกับปู่โสมที่เรากำลังกล่าวถึงอยู่หน่อย ปู่โสมที่เกิดจากอำนาจคนตายนี้ ก็ยังแยกออกเป็นแบบอีกคือ เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติกับเขาทำให้เกิด
      
อย่างแรกที่ว่าเกิดกันตามธรรมชาตินี้คือเกิดจากคนที่เป็นจ้าวสมบัติเมื่อตาย ลงจิตยังคงหลงยึดมั่นในสมบัตินั้นเลยทำให้ไม่ได้ไปเกิด กลายเป็นผีเฝ้าสมบัติ เรื่องอย่างนี้ได้ยินกันบ่อยไป เช่นเคยได้ยินว่ามีนักเล่นของเก่าไปหาซื้อเตียงโบราณมาพอจะเอาเตียงมานอน เข้าจริงๆก็โดนเจ้าของเตียง(ผี)มาเล่นงานตั้งแต่คืนแรก อย่างนี้คงเป็นเพราะวิญญาณยังคงหวงเตียงนั้นอยู่เลยไม่อยากให้ใครมาเกาะแกะ ฟังดูอาจตลกดีแค่เตียงเก่าๆยังหวงอะไรหนักหนา แต่มาคิดดูเรื่องการหวงข้าวของนี้เป็นอัตตาที่เข้มข้นอย่างหนึ่ง เช่นของของเราๆก็ไม่อยากให้ใครมาแอบใช้ คนรักของเราๆก็ไม่อยากให้ใครมาเกาะแกะ แต่อย่างนี้ยังดูไกลจากผีปู่โสมของเราอยู่มากคับ
      
การเกิดผีปู่โสมอีกอย่าหนึ่งก็คือเป็นการกระทำให้เกิดคือเจ้าตัวก็ไม่ได้ อยากเกิดเป็นผีปู่โสมแต่มีใครบางคนทำให้เป็น ไม่ว่าเจ้าตัวจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม อย่างนี้เองจึงเป็นผีปู่โสมเฝ้าสมบัติของแท้ เรื่องเอาคนมาฆ่าแล้วตรึงวิญาณให้เฝ้าสมบัตินี้มักได้ยินบ่อยๆ เป็นความเชื่อของลัทธิมารยศาสตร์
      
ผมไม่ค่อยเก่งเรื่องมารยศาสตร์เลยคับ แต่สายที่ผมเรียนไม่ฆ่าคนนะคับ บาปกรรม เป็นการตรึงวิญญาณที่เป็นผีเท่านั้น แต่ไม่รู้สิคับ ขนาดเรียนมาแล้ว ก็ยังทำไม่ได้ เพราะมันเป็นไสยศาสตร์แขนงหนึ่ง เป็นเป็นอวิชชาเต็มๆ มันมาจากคำว่า มาร และ ศาสตร์ วิชามารชัดๆ ผมเรียนยังไง อาจารย์ก็บอกว่าอย่าเรียนเลย เรียนไปก็ไม่มีผลดี จะเกิดผลเสีย เดี๋ยวตายจะไม่ได้ไปเกิดเสียเปล่า อีกอย่างจริตไม่ถูกวิชาเรียนก็จะไม่รู้เรื่องถึงทำได้ก็ไม่เก่ง และไม่มีทางสำเร็จวิชาแน่นอน แม้อาจารย์เรานี้แช่ลูกศิษย์ของตัวเองหรือเปล่าเนี่ย ไม่มีทางเรียนสำเร็จ และมันก็ไม่สำเร็จจริงๆ ผมเกือบเปลี่ยนเพื่อนผีของผมให้กลายเป็นผีเฝ้าสมบัติ แต่ก็ไม่สำเร็จมันกลายเป็นครึ่งผีครึ่งอสูร จะเป็นผีเฝ้าสมบัติก็ไม่ใช่ สุดท้ายอาจารย์ต้องมาแก้ให้ ก็สนุกกันไป ไอ้เพื่อนผมมันก็นึกสนุกกล้าเล่นด้วยนะคับ มันก็ไม่ยักจะโกรธผมบ้างเลย เกือบไม่ได้ไปผุดไปเกิดแล้วไหมล่ะ แต่มันก็ยังไม่ยอมไปผุดไปเกิดกับเขาสักทีหนึ่ง อยู่กับผมมันมีอะไรดีหนักหนา นอกเรื่องซะไกลเลยนะคับ กลับมาที่รากษสกันต่อดีกว่า ไม่อยากเล่าวีรกรรมของตัวเอง
มาอ่านชาดกที่มีรากษสกันบ้าง
อรรถกถา เอกกนิบาตชาดก อาสิงสวรรค
ตโยธรรมชาดก ว่าด้วยธรรมของผู้ล่วงพ้นศัตรู
       พระบรมศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภการตะเกียกตะกายจะฆ่าพระองค์นั่นแหละ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ยสฺเสเต จ ตโย ธมฺมา ดังนี้.
      
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี. พระเทวทัตบังเกิดในกำเนิดวานร ควบคุมฝูงอยู่ในหิมวันตประเทศ. เมื่อลูกวานรที่อาศัยตนเติบโตแล้ว ก็ขบพืชของลูกวานรเหล่านั้นเสียสิ้น เพราะกลัวว่า วานรเหล่านี้จะแย่งคุมฝูง.
      
ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ก็อาศัยวานรนั้นแหละ ถือปฏิสนธิในท้องของนางวานรตัวหนึ่ง. ครั้นนางวานรรู้ว่า ตั้งครรภ์ เพื่อจะถนอมครรภ์ของตน ก็ได้ไปสู่เชิงเขาตำบลอื่น พอท้องแก่ครบกำหนด ก็คลอดพระโพธิสัตว์. พระโพธิสัตว์เจริญวัย ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยกำลัง.
             
วันหนึ่ง ถามมารดาว่า แม่จ๋า ใครเป็นพ่อของฉัน.
             
มารดาตอบว่า พ่อคุณ บิดาของเจ้าคุมฝูงอยู่ที่ภูเขาลูกโน้น.
             
แม่พาฉันไปหาพ่อเถิด.
             
ลูกจ๋า เจ้าไม่อาจเข้าใกล้พ่อของเจ้าได้ เพราะพ่อของเจ้าคอยขบพืชของลูกวานร ที่อาศัยตน เกิดเสียหมด เพราะกลัวจะแย่งคุมฝูง.
             
แม่จ๋า พาฉันไปเถิด ฉันจักรู้ (อนาคตของตนเอง).
             
นางจึงพาพระโพธิสัตว์มายังสำนักของวานรผู้เป็นพ่อ.
      
วานรนั้นเห็นลูกของตนแล้ว ก็คิดว่า เมื่อเจ้านี่เติบโตจักไม่ยอมให้เราคุมฝูง ต้องฆ่ามันเสีย บัดนี้ทีเดียว เราจักทำเป็นเหมือนสวมกอดมัน แล้วก็บีบให้แน่นให้ถึงสิ้นชีวิตให้จงได้ จึงกล่าวว่า มานี่เถิดลูก เจ้าไปไหนเสีย นมนานจนป่านนี้  ดังนี้แล้ว ทำเป็นเหมือนกอดรัดพระโพธิสัตว์ รัดจนแน่น.
             
ก็พระโพธิสัตว์มีกำลังดังช้างสารสมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง จึงบีบรัดตอบ.
             
ครั้งนั้น กระดูกทุกชิ้นส่วนของวานรนั้น ถึงอาการจะแตกแยก.
      
ลำดับนั้น วานรผู้เป็นพ่อเกิดวิตกว่า ไอ้นี่เติบโตขึ้นต้องฆ่าเรา เราต้องหาอุบายอะไร รีบฆ่ามันเสียก่อน แต่นั้นก็คิดได้ว่า ไม่ไกลจากนี้ มีสระที่มีผีเสื้อน้ำสิงอยู่ เราจักให้ผีเสื้อน้ำกินมันเสียที่สระนั้น แล้วจึงกล่าวกะพระโพธิสัตว์ว่า ลูกเอ๋ย พ่อแก่แล้ว จักมอบฝูงให้เจ้า วันนี้จะตั้งเจ้าเป็นหัวหน้า ที่ตรงโน้นมีสระอยู่ ในสระนั้น ดอกโกมุท ๒ ดอก อุบล ๓ ดอก ปทุม ๕ ดอก กำลังบาน ไปเถิด ไปเอาดอกไม้ มาจากสระนั้น.
      
พระโพธิสัตว์รับคำว่า ดีละพ่อ ฉันจักไปนำมาแล้วก็ไป แต่ยังไม่ผลีผลามลงไป ตรวจดูรอยรอบๆ สระ เห็นแต่รอยลงเท่านั้น ไม่เห็นรอยขึ้น ก็รู้ว่าอันสระนี้ต้องมีรากษสยึดครองแน่นอน พ่อเราไม่อาจฆ่าเราด้วยตน จักหวังให้รากษสเคี้ยวกินเราเสีย เราจักไม่ลงสระนี้ และต้องเก็บดอกไม้ให้ได้ด้วย แล้วเดินไปหาที่ซึ่งไม่มีน้ำ ไปได้ ๒ ดอก ทีเดียว โดดไปลงฝั่งโน้น โดดจากฝั่งโน้นมาลงฝั่งนี้ ก็คว้าได้อีก ๒ ดอก ด้วยอุบายนั้นแหละ. ด้วยวิธีนี้ พระโพธิสัตว์เก็บดอกไม้ได้ เป็นกองทั้งสองฝั่งสระและไม่ต้องลงสู่สถานอันอยู่ในอาญาของรากษส.
      
ครั้นพระโพธิสัตว์เห็นว่า ไม่สามารถจะเก็บได้มากกว่านี้ ก็รวบรวมดอกไม้กองไว้ที่เดียว.
      
ครั้งนั้น รากษสดำริว่า อัจฉริยบุรุษมีปัญญาอย่างนี้ เราไม่เคยเห็นเลยตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ ดอกไม้ก็เก็บได้ตามปรารถนา และไม่ต้องลงสู่สถานที่ อันอยู่ในอาญาของเราอีกด้วย จึงระเบิดน้ำ โผล่ขึ้นจากน้ำเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ กล่าวว่า พานรินทร์ ในโลกนี้ ผู้ใดมีธรรม ๓ ประการ ผู้นั้นย่อมครอบงำปัจจามิตรได้ ชะรอยภายในตัวของท่าน จักมีธรรมทั้งนั้นครบทุกประการ เป็นแน่.
      
เมื่อจะชื่นชมพระโพธิสัตว์ จึงกล่าวคาถานี้ ความว่า :
 “ 
ธรรม ๓ ประการเหล่านี้ คือทักขิยะ สุริยะ ปัญญา มีแก่บุคคลใด เหมือนมีแก่ท่าน บุคคลนั้นย่อมล่วงพ้นศัตรูได้.  ดังนี้.
      
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทกฺขยํ ได้แก่ ความเป็นผู้มีความขยันขันแข็ง.
บทนี้เป็นชื่อของความเพียรอย่างสูงที่ประกอบพร้อมมูลด้วยปัญญาอันรู้จักกำจัดภัยที่มาประจวบเข้า.
บทว่า สูรยํ ได้แก่ความเป็นผู้กล้าหาญ.
บทนี้เป็นชื่อของความเป็นผู้ไม่มีความพรั่นพรึง.
บทว่า ปญฺญา นี้ เป็นชื่อของความรู้อุบาย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความปรากฏผล.
รากษสนั้นชมเชยพระโพธิสัตว์ด้วยคาถานี้อย่างนี้แล้ว ก็ถามว่า ท่านเก็บดอกไม้เหล่านี้ไปทำไม?
พระโพธิสัตว์ตอบว่า พ่อของเราปรารถนาจะตั้งเราเป็นผู้นำฝูง เราเก็บไป เพราะเหตุนั้น.
รากษสพูดว่า อุดมบุรุษเช่นท่าน ไม่น่าจะนำดอกไม้ไป เราจักนำไปให้ แล้วหอบดอกไม้เดินตามหลังพระโพธิสัตว์ไป.
ครั้งนั้น บิดาของพระโพธิสัตว์เห็นแต่ไกลแล้ว รำพึงว่า เราส่งมันไป หมายว่าจักให้เป็นเหยื่อของรากษส บัดนี้ มันกลับใช้ให้รากษสถือดอกไม้ตามมา คราวนี้เราฉิบหายแล้ว เลยหัวใจแตกเจ็ดเสี่ยง สิ้นชีวิตในที่นั้นเอง.
ฝูงวานรที่เหลืออยู่ประชุมกัน ยกพระโพธิสัตว์ให้เป็นราชาผู้นำฝูง.
แม้พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิ ประชุมชาดกว่า
วานรนายฝูงในครั้งนั้น ได้เป็น พระเทวทัต ในครั้งนี้
ส่วนบุตรของลิงผู้เป็นจ่าฝูง ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.
นิทานธรรมอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับรากษส เรื่องพญาวานร
       ในป่าใหญ่แห่งหนึ่งมีสระน้ำใหญ่อยู่ สระน้ำนี้มีน้ำใสเย็น ชวนให้ผู้พบเห็นลงอาบและดื่มกิน รากษสน้ำตนหนึ่งได้รับมอบหมายจากท้าวเวสสุวรรณให้ดูแลสระน้ำนี้ และมีสิทธิ์จับผู้ที่ลงไปอาบและดื่มกินได้
      
ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าของเราเกิดเป็นพญาวานรตัวใหญ่เท่าลูกละมั่ง พระเทวทัตเกิดเป็นรากษสน้ำ มีท้องเขียว หน้าขาว มือเท้าแดง ดูน่าเกลียด น่ากลัว
      
พญาวานรมีลิง ๘๐,๐๐๐ เป็นบริวาร ทุกวันจะพาบริวารออกไปหากินในป่า และก่อนออกนั้น พญาวานรจะบอกบริวารเสมอว่า เจ้าทั้งหลาย ในป่าแห่งนี้ มีทั้งต้นไม้ที่เป็นพิษ และมีทั้งสระน้ำที่อมนุษย์เฝ้ารักษาหวงแหน หากพวกเจ้าไปพบผลไม้ที่ยังไม่เคยกินหรือพบน้ำที่ยังไม่เคยดื่มเข้า ก่อนจะดื่ม ก่อนจะกิน ขอให้ถามข้าก่อนก็แล้วกันนะ
      
แม้พญาลิงจะไม่อธิบายถึงเหตุผล แต่พวกลิงบริวารก็รู้ดีว่าพญาลิงผู้นำของพวกตนมีความเป็นห่วง เพราะเคยมีหลายครั้งที่พวกลิงล้มตายไปเนื่องจากไปกินผลไม้ที่เป็นพิษเข้า บางทีก็หายลงไปในสระน้ำไม่กลับขึ้นมาอีก
      
วันหนึ่ง พญาวานรพาบริวารออกไปหากินไกลจากที่ที่เคยหากิน พวกลิงบริวารรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มาเที่ยวป่าใหม่ซึ่งมีไม้ดอกไม้ผลงามสะพรั่ง พญาลิงปล่อยให้บริวารกระโดดโลดเต้น เก็บผลไม้กินกันอย่างอิ่มหมีพีมัน เกือบตลอดทั้งวันจนรู้สึกหิวน้ำ พวกลิงบริวารจึงได้พากันเที่ยวหาน้ำกินจนได้มาพบสระน้ำใหญ่สระหนึ่ง น้ำในสระนั้นใสเย็นชวนให้ลงไปอาบและดื่มกิน พวกลิงบริวารเหล่านั้นต่างดีใจจึงร้องบอกกันและกัน
พวกเราเว้ยพวกเรามาทางนี้ พบสระน้ำแล้ว
โอน้ำใสเย็นเสียด้วย ลงไปกินเลยพวกเรา ลิงกลุ่มหนึ่งชักชวนเพื่อนด้วยความดีใจ
ช้าก่อนพวกเรา ช้าก่อน ลิงตัวหนึ่งขัดขึ้น
ทำไมล่ะ พวกลิงหนุ่มสงสัย
อ้าว จำไม่ได้หรือว่าเจ้านายสั่งไว้อย่างไร ลิงแก่ย้อนถาม
เออจริงเจ้านายสั่งว่า หากพบผลไม้หรือน้ำที่ยังไม่เคยกินไม่เคยดื่มให้ถามก่อน ลิงหนุ่มตัวหนึ่งนึกขึ้นได้ พวกเรา รอถามเจ้านายก่อนดีกว่า
พวกลิงทั้งหมดเห็นด้วย จึงยังไม่มีตัวใดลงดื่มน้ำ ทุกตัวนั่งคอยพญาลิงด้วยความหิวกระหาย จนกระทั่งพญาลิงมาถึง
พวกเจ้าดื่มกินน้ำแล้วหรือ พญาลิงถาม
ยังเจ้านายยัง พวกลิงร้องบอกกันขรม
ทำไมล่ะ
สระน้ำนี้ พวกเรายังไม่เคยลงกิน เลยต้องรอไว้ถามท่านก่อน
ดีมาก พญาวานรพูดปนหัวเราะ จากนั้นก็ได้เดินตรวจดูรอยเท้าของคนและสัตว์รอบๆ สระ ก็เห็นแต่เฉพาะรอยเท้าลง ไม่เห็นรอยเท้าขึ้น ก็รู้ได้ทันทีว่าสระน้ำนี้มีรากษสน้ำรักษาอยู่ และคอยจับคนและสัตว์ทั้งหมดที่ลงไปในสรกินเป็นอาหาร ฉะนั้น สัตว์และคนที่ลงไปจะไม่มีโอกาสได้กลับขึ้นมาอีกเป็นอันขาด
ดีแล้วที่พวกเจ้าไม่ลงไปในสระนี้ พญาลิงร้องบอกบริวาร
ทำไมหรือ เจ้านาย พวกลิงบริวารร้องถาม
สระน้ำนี้มีรากษสน้ำรักษาอยู่ ใครที่ลงไปจะถูกมันจับกินหมด
เจ้านายรู้ได้อย่างไร
ข้าเดินดูรอบสระเมื่อตะกี้นี้ เห็นมีแต่รอยเท้าลง ไม่เห็นรอยเท้าขึ้นมาเลย แสดงว่าใครก็ตามที่ลงไปแล้วไม่มีโอกาสกลับขึ้นมาอีกเลย เพราะถูกรากษสจับกินหมด พวกเจ้าก็เกือบไปแล้ว
      
พวกลิงบริวารได้ฟังดังนั้นแล้วขนลุกเกรียวด้วยความกลัว ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กและเริ่มเข้าจับกลุ่มกัน ลิงบางตัวที่ขี้กลัวก็ถึงกับเบีบดลิงตัวอื่นๆ เสียชิด
      
ฝ่ายรากษสน้ำ ครั้งแรกที่เห็นเหยื่ออันโอชะมากันเป็นฝูงก็ดีใจ จึงคอยดักซุ่มอยู่ในสระน้ำ แต่เมื่อไม่เห็นเหยื่อลงไปสักที จึงโผล่ขึ้นมาจากน้ำ พวกลิงบริวารเห็นแล้วต่างตกใจอกสั่นขวัญหนี เพราะรากษสน้ำมีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว ท้องเขียว หน้าขาว มือเท้าแดง ยิ่งเห็นรากษสน้ำลุยน้ำขึ้นมาหาก็ยิ่งกลัวมากขึ้นถึงขั้นนั่งเบียดกันเป็นกระจุก
พวกท่านมัวนั่งกันอยู่ทำไม รากษสน้ำถามแล้วเชิญชวน
น้ำในสระใสเย็น เชิญท่านลงไปดื่มกินเถิด
เสียงรากษสน้ำพูดดังก้อง พวกลิงเล็กๆ หลับตาปี๋ พญาลิงมองดูบริวารแล้วหันมาทางรากษสน้ำ
ท่านเป็นรากษสน้ำสิงอยู่ที่นี่ใช่ไหม พญาลิงถาม
ใช่…” รากษสตอบ
คนที่ลงไปในสระน้ำนี้ ท่านมีสิทธิ์จับกินใช่ไหม
ใช่เรามีสิทธิ์จับกินได้หมด พวกท่านทั้งหมดที่อยู่นี่ หากลงไปในสระเราก็มีสิทธิ์จับกิน
ท่านมีสิทธิ์ พญาลิงพยักหน้า แต่พวกเราจักไม่ยอมให้ท่านจับกินหรอก
พวกท่านต้องการดื่มน้ำมิใช่หรือ รากษสถามกลับ
ใช่พวกเราต้องการดื่มน้ำ แต่จักดื่มโดยวิธีที่จะไม่ถูกท่านจับกิน พญาลิงตอบ
รากษสน้ำรู้สึกมึนงงในคำพูดของพญาลิง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ยังไม่เคยเห็นใครดื่มน้ำในสระโดยไม่ถูกเขาจับตัวกิน
ท่านจักดื่มน้ำโดยวิธีใด เขาถาม
พวกเราจักใช้หลอดดูดดื่ม พญาลิงตอบ
      
ขณะที่รากษสน้ำกำลังงุนงงอยู่นั้น พญาลิงก็สั่งให้ลิงบริวารทุกตัวนำต้นอ้อมาตัวละต้น ให้เด็ดโคนเด็ดปลายจนเหลือเป็นลำยาว พญาลิงเองก็ทำเช่นนั้น จากนั้นจึงหยิบลำไม้อ้อ ของตัวเองมาตั้งอธิฐาน
ด้วยอำนาจบุญบารมีที่ข้าพเจ้าสั่งสมอบรมมา ขอให้ข้างในไม้อ้อลำนี้จงเป็นโพรงตลอดไป
      
ครั้งตั้งจิตอธิฐานแล้ว พญาลิงก็เป่าลงไปในลำไม้อ้อ ผลปรากฏว่า ทันใดนั้นเองลำไม้อ้อทั้งลำก็ทะลุถึงกันหมด สามารถใช้เป็นหลอดดูดน้ำในสระดื่มได้
      
เมื่อตั้งจิตอธิฐานเป่าไม้อ้อของตนเองทะลุเป็นโพรงถึงกันแล้ว พญาลิงก็ตั้งจิตอธิฐานเป่าไม้อ้อของบริวารทั้ง ๘๐,๐๐๐ ตัวให้ทะลุดป็นโพรงพร้อมกัน รวมทั้งต้นอ้อที่ขึ้นอยู่บริเวณนั้นด้วย จากนั้น พญาลิงก็สั่งให้พวกลิงบริวารกระจายกันล้อมสระแล้วหย่อนลำไม้อ้อลงไปในสระ พญาลิงดูดน้ำแล้วพวกลิงก็ดูดตาม ทั้งพญาลิงและพวกลิงบริวารต่างพากันนั่งดูดน้ำจากสระด้วยลำไม้อ้ออยู่ริมสระจนอิ่มน้ำ โดยที่รากษสน้ำไม่สามารถจะจับกินได้ เนื่องจากไม่ได้ลงไปในสระอันเป็นเขตครอบครองของรากษสน้ำนั้น
จบเรื่องรากษสไว้เพียงเท่านี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น